"สมดุลกายใจ สวยจากภายในสู่ภายนอก"
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ครูบิ๊กได้มีโอกาสไปเป็นวิทยากรบรรยายธรรมให้กับบุคลากรของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ในหัวข้อเก๋ ๆ ชื่อ "สมดุลกายใจ สวยจากภายในสู่ภายนอก" ค่ะ ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมไม่ได้มีพุทธศาสนิกชน แต่ธรรมะนั้นเป็นเรื่องสากลนะคะ
ดังนั้นไม่ว่าศาสนาใดก็ฟังได้ กายใจเป็นของเรา ดังนั้น เราเท่านั้นที่จะดูแลได้ดีที่สุดค่ะ
ในการอบรมครั้งนี้ ช่วงก่อนหน้าครูบิ๊ก วิทยากรเป็นนายแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี มาบรรยายเรื่องการดูแลสุขภาพกาย จากนั้นครูบิ๊กบรรยายต่อถึงการดูแลใจค่ะ
หัวข้อนี้ก็ทำให้ผู้เข้าอบรมได้คิดนะคะว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรให้กายมากมาย แต่เราได้ให้อะไรกับใจบ้างหรือเปล่า ลองคิดกันเล่น ๆ ดูนะคะ ว่าในชีวิตประจำวันปกติ เราได้ทำอะไรให้กายบ้าง หลัก ๆ ก็มี "4 อ." ที่เราทำให้กายเป็นประจำค่ะ นั่นคือ
1. ออกกำลัง(กาย)
2. อาหาร
3. อาบน้ำ
4. อาภรณ์
คงไม่มีใครเถียงนะคะว่าไม่เคยทำกิจกรรมเหล่านี้ให้กับกาย
ทีนี้ถามต่อ ... ว่าเราเคยทำ "4 อ." นี้ให้กับใจกันบ้างหรือไม่
เราเคยออกกำลังใจบ้างมั้ย
เราเคยให้อาหารใจบ้างมั้ย
เราเคยอาบน้ำให้ใจบ้างมั้ย
เราเคยสวมอาภรณ์ หรือใส่เสื้อผ้าให้ใจบ้างหรือเปล่า
กับหัวข้อบรรยาย "สมดุลกายใจ สวยจากภายในสู่ภายนอก" ทำให้เราต้องลุกขึ้นมาทำ 4 อ.นี้ให้กับใจกันบ้างแล้ว มิฉะนั้นชีวิตจะไม่สมดุลนะคะ
เริ่มกันเลยค่ะ
ออกกำลังกาย vs ออกกำลังใจ
ตอนนี้กระแสออกกำลังกายกำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็นการเข้ายิม หรือปั่นจักรยาน ท่านออกกำลังกายกันเป็นประจำ แต่ท่านได้ออกกำลังใจบ้างหรือไม่
กำลังกาย กับกำลังใจ ต่างกันอย่างไรคะ
กายหรือกล้ามเนื้อนั้น ยิ่งใช้ ยิ่งเคลื่อนไหว จะยิ่งแข็งแรง
แต่ใจ... กลับเป็นในทางตรงข้ามค่ะ คือ ยิ่งนิ่ง เขาจะยิ่งแข็งแรง
แล้วใจ..จะนิ่งได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อแต่ละวันใจเราพล่าน คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ร้อยแปดพันประการ
คำตอบคือ ... ก็ต้องหาที่ให้ใจเกาะสิคะ ใจ..มีธรรมชาติที่จะวิ่งไปคิดโน่นคิดนี่อยู่เป็นปกติ และที่ที่ให้ใจเกาะได้ดีที่สุด พระพุทธเจ้าสรรเสริญมาก คือ ให้ผูกใจไว้กับ "ลมหายใจ" หรือ "กายที่เคลื่อนไหว" ค่ะ หาเวลาว่างสักวันละนิด ไม่ต้องมาก อย่า
เพิ่งไปคิดขนาดครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง เพราะแค่คิดก็ท้อแล้ว เริ่มจาก 15 นาทีได้มั้ย ถ้าไม่ได้ลดเหลือ 10 ถ้าไม่ได้ลดเหลือ 5 ถ้าไม่ได้ ขอนาทีเดียวก็พอ นาทีเดียวนี่คงไม่มีข้ออ้างแล้วนะคะ (หยุดเล่นไลน์ ส่องเฟสบุ๊คสักหน่อย เผลอ ๆ จะได้
เป็นครึ่งชั่วโมงนะคะ .. ฮา) เมื่อหาเวลาได้แล้ว นั่ง หรือเดินในที่ส่วนตัว ไม่มีใครรบกวน จับใจมารู้สึกที่ลมหายใจ ว่าขณะนี้ เข้าหรือออก สั้นหรือยาว อึดอัดหรือสบาย ไม่นาน..ใจเขาก็จะลอยออกไปไหนต่อไหน เราก็มีหน้าที่ดึงเขากลับมารู้กับลม
หายใจอีก ส่วนท่านที่เลือกจะเดิน ก็ให้รู้อยู่กับการก้าวไปแต่ละก้าว ไม่นาน..ใจเขาก็จะลอยออกไปไหนต่อไหน เราก็มีหน้าที่ดึงเขากลับมารู้อยู่กับขาหรือเท้าที่เคลื่อนไหวนั้น ฝึกดึงใจกลับมาบ่อย ๆ เขาก็จะอยู่กับลม/กับกายได้นานขึ้น ทำให้ใจ
ได้นิ่งบ้าง.. แต่นี่ล่ะค่ะ คือการออกกำลังใจ
อาหารกาย vs อาหารใจ
อาหารกายนั้น เวลากายหิว ต่อให้ดั้นด้นไปไกลแค่ไหน เราก็ไปกันใช่มั้ยคะ แต่ใจของเราที่เค้าหิว..เฝ้ารออาหารมานานแสนนาน เรากลับไม่เคยใส่ใจเลย อาหารของใจคือ "พลังบวก" นั่นเองค่ะ
ท่านลองทำท่าอุลตร้าแมนดูสิคะ จะเห็นอะไร "เครื่องหมายบวก "ไงคะ จากนั้นเราก็ปล่อยแสง พร้อมพูดว่า "คิดบวก พูดบวก ทำบวก ดึงดูดสิ่งบวก ๆ สู่ชีวิตเรา" จินตนาการว่าใจของเราคือขวดน้ำ "สิ่งที่อยู่ในใจของท่านขณะนี้ ไม่มีอย่างอื่นนอก
จากสิ่งที่ท่านใส่มันลงไปเอง" ใช่ไหมคะ
แต่เหนื่อสิ่งอื่นใด เราจะคิด พูด หรือทำบวกได้ ต้องเริ่มจาก...เราเห็นท่านค่าของตัวเองก่อนค่ะ
ท่านโชคดีแค่ไหนที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ภพภูมิซึ่งท่านมีสิทธิ์เลือกทำบุญหรือบาปก็ได้
ท่านโชคดีแค่ไหนที่ไม่พิการ เดินได้เอง โดยไม่ต้องมีคนพยุง หายใจได้เองโดยไม่ต้องใส่ท่อ ขับถ่ายได้เองโดยไม่ต้องสวน
ย้อนกลับไปเท่ากับอายุของท่าน ท่านคือสเปิร์มตัวที่แข็งแรงที่สุดใช่ไหม ท่านคือผู้ชนะ
ท่าน...คือบุคคลที่มีค่าในตัวเองอย่างประมาณมิได้เชียวค่ะ อย่าปล่อยความคิดลบ ๆ เข้ามาในหัวท่านเด็ดขาด เพราะความคิดเหล่านั้น..ไม่คู่ควรกับคนเก่งอย่างท่านค่ะ
เมื่อท่านคิดบวกได้แล้ว การพูดแต่เรื่องบวก ๆ ทำแต่เรื่องดี ๆ ก็จะตามมาเองค่ะ อย่าลืมว่าใน(ขวดน้ำ)ใจของท่านนั้น หากท่านเติมน้ำหอมลงไป มันก็หอม หากท่านเติมน้ำเน่าลงไป มันก็เหม็นนะคะ ท่านเลือกได้ค่ะ ว่าจะให้พลังบวกหรือพลังลบ
เป็นอาหารของใจท่าน
อย่าลืมว่าชีวิตมันสั้นนะคะ สั้นเกินไปที่จะสะสมแต่สิ่งลบ ๆ ท่านว่ามั้ยคะ
อาบน้ำกาย vs อาบน้ำใจ
เมืองไทยอากาศร้อนเนอะ ยิ่งตอนนี้ทุกคนคงซึ้งกับความจริงข้อนี้ พอตัวเหนียวเหนอะหนะ สิ่งแรกที่ท่านคิดถึงคืออะไรคะ
"อาบน้ำ" สิ เพราะอาบแล้วทำให้ตัวสะอาด หายเหนียว หายเหม็น สดชื่น เย็น เราอาบน้ำกายกันทุกวันเลย บางคนอาบเช้าอาบเย็น แล้วใจล่ะคะ ท่านเคยอาบน้ำให้เค้าบ้างรึเปล่า ใจเหม็น ใจเหนียว ใจสกปรกแค่ไหนแล้ว เราไม่เคยสนใจกันเลย
ว่าที่จริง...พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องการอาบน้ำใจไว้นานแล้วนะคะ แต่เราไม่รู้กันเลย อุปกรณ์การอาบน้ำใจก็คือ "บุญ" อย่างไรล่ะคะ
บุญแปลว่า "เครื่องชำระใจ" แปลให้ง่ายอีกคือ เครื่องทำความสะอาดใจนั่นเอง ถ้าอุปกรณ์อาบน้ำให้ใจมี 3 อย่างค่ะ จำให้ดีเลย
"รู้จักให้
ไม่เบียดเบียน
เพียรรู้สึกตัว"
ใจ..สกปรกจากความเห็นแก่ตัว ความโกรธ และความเผลอเรอล่องลอยของใจค่ะ จึงต้องใช้อุปกรณ์ 3 อย่างนี้คอยอาบน้ำให้ใจเสมอ
"รู้จักให้" เราให้ของได้ 9 อย่างนะคะ เลือกเอาตามที่ท่านชอบ หรือถ้าให้ได้ทุกอย่างก็เยี่ยมเลย ไม่ว่าจะเป็น วัตถุ/เงินทอง ให้เมตตา ให้ความอ่อนน้อม ให้คำพูดที่ไพเราะ ให้แรงกายช่วยเหลือ เสียสละ ชื่นชมเมื่อคนอื่นทำดี ให้ข้อคิดดี ๆ และสุดท้าย ให้อภัยค่ะ
"ไม่เบียดเบียน" ก็คือการตั้งมั่นอยู่ในศีลห้านั่นเองค่ะ เห็นด้วยมั้ยคะว่าการทำผิดศีลแต่ละข้อล้วนทำให้คนอื่นเดือดร้อนทั้งนั้น การควบคุมกายของเราไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ถือเป็นการทำให้ใจสะอาดไปส่วนหนึ่งแล้ว
"เพียรรู้สึกตัว" ก็คือการมีสตินั่นเอง ตัวกับใจอยู่ที่เดียวกัน ตัวอยู่ไหน..ใจอยู่นั่น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ตอนเราเกิดมานั้นใจสะอาดนะ แต่ถ้าไม่มีอะไรมาคอยคุม มันจะคอยไหลลงไปสู่ที่ต่ำเสมอ จำเป็นต้องมี "สติ" หรือ "ความรู้สึกตัว" มาเป็นครู
ฝ่ายปกครอง คอยสั่งสอน ประกบ ตักเตือนไม่ให้หนูใจของเราออกนอกลู่นอกทาง หรือถ้าหลงออกนอกทางไป ครูสติก็ยังไปตามกลับมาได้ทัน
ฟังดูไม่ยากนะคะ กับการอาบน้ำใจ แต่ย้ำว่า..ต้องอาบทุกวัน อ้าว..ก็ทีกายเรายังอาบทุกวันเลย แล้วทำไมเราจะอาบน้ำให้ใจทุกวันไม่ได้ล่ะ ช่วยใจเขาหน่อยเถอะนะคะ ทิ้งขว้างเขามานาน ป่านนี้เขาเหนอะหนะแย่แล้ว
อาภรณ์กาย vs อาภรณ์ใจ
อาภรณ์แปลว่าเสื้อผ้า
แน่นอนว่าเราคงไม่ไปไหนมาไหนโดยไม่ใส่เสื้อผ้าเนอะ แถมมนุษย์เรายังหมดเปลืองเงินไปเยอะมากกับเสื้อผ้านี่เอง เราสวมเสื้อผ้าเพื่อปกปิดจากความอาย เพื่อความอบอุ่น และเพื่อตกแต่งให้เราดูดี เราประโคมเสื้อผ้าให้กายไปเท่าไหร่ แต่เราปล่อยใจ
เขาเปลือย ๆ ให้เขาหนาว ให้เขาหม่นหมอง หมดราศรีมานานเท่าไหร่แล้ว
อาภรณ์ของใจคือ "สติ" ค่ะ ใช่แล้ว..เป็นสติตัวเดิม ตัวเดียวกับที่ช่วยทำความสะอาดใจนั่นแหล่ะ ดังนั้นทุกเช้า เวลาสวมเสื้อผ้า แล้วกลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายหรือ รูดซิปกางเกง โปรดบอกกับตัวเองว่า "สวมสติ ให้เหมือนสวมเสื้อผ้า" บอกตัวเองด้วย
ประโยคนี้สัก 3 ครั้งหน้ากระจก เมื่อท่านสวมสติให้ใจ ใจท่านจะมีความอายต่อบาป ใจท่านจะอบอุ่นเหมือนมีเพื่อนตายอยู่ข้างกายตลอดเวลา และสติจะประดับประดาใจท่านให้กลายเป็นคนสูงศักดิ์ขึ้นโดยพลัน
เป็นไงคะ "สมดุลกายใจ สวยจากภายในสู่ภายนอก" สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราอาจจะพอทราบแต่ละเลยกันไป วันนี้ได้รู้แล้วก็อย่างรอช้านะคะ มาสร้างความสวยให้ใจ สร้างความสวยจากข้างในให้ยั่งยืนกันเถอะค่ะ