วันนี้ครูบิ๊กได้รับความไว้วางใจให้มาเป็นวิทยากรบรรยายธรรมให้กับพี่น้อง พนักงานบริษัท สยามควอลิตี้สตาร์ช จำกัด จ.ชัยภูมิค่ะ
หัวข้อที่ได้รับในวันนี้เป็นการบรรยายธรรมะเพื่อการปฏิบัติงาน ครูบิ๊กจึงได้ตั้งชื่อหลักสูตรว่า
"ทำงานให้สตรอง...ต้องครองด้วยสติ" ค่ะ
พี่น้องพนักงานมากันพร้อมเพรียง อบอุ่นทีเดียวค่ะ
"ทำงานให้สตรอง .. ต้องครองด้วยสติ" หัวข้อนี้มีที่มาที่ไปจากคำที่กำลังฮ็อทมากในนาทีนี้
STRONG!!!
คำ ๆ นี้ดูจะใช้กันในทุกวงการ แผ่มาถึงชีวิตประจำวัน ครูบิ๊กจึงอยากให้คนทำงาน ได้ใช้คำนี้ด้วยเช่นกัน
สตรองแปลว่าแข็งแรง ครูบิ๊กเริ่มจากยิงคำถามว่า หากพูดคำว่า "แข็งแรง" จะนึกถึงอะไรบ้าง มีคำตอบมากมาย เช่น ร่างกาย ฟัน กระดูก ตึก สะพาน รั้ว ต้นไม้ใหญ่
ของทั้งหลายที่เราว่าแข็งแรงนั้น นิยามของมันไม่ใช่การฟาดฟันหรือทำลายสิ่งที่อยู่แวดล้อมให้ย่อยยับไป หากแต่เป็นการเกื้อกูลสิ่งที่อยู่รอบข้างให้ได้มากที่สุดต่างหาก
"ต้นไม้" คือตัวอย่างที่ดีมาก
ต้นไม้ที่แข็งแรง ไม่ใช่ต้นไม้ที่ยืนอยู่ต้นเดียว โดยไม่มีอย่างอื่นอยู่รอบข้างเลย หากแต่เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาแก่ผู้ผ่านไปมา ทิ้งใบลงมาให้เน่าเปื่อยเป็นปุ๋ยให้หญ้าคลุมดิน มีกิ่งก้านให้นกหนอนได้อาศัย ให้ออกซิเจนแก่โลก
การ "ทำงานให้สตรอง" จึงไม่ได้หมายถึงการจึงไม่ได้หมายถึงการทำงานที่ตัวเองเด่นอยู่คนเดียว ไม่มีใครทำงานด้วยได้ หรือทำงานแบบถือคติ "ฉันเกิดมาเพื่อฆ่าทุกคน" แต่กลับหมายถึงการทำงานที่เกื้อกูลต่อเพื่อน นาย ลูกน้อง ลูกค้าต่างหาก
หากเราอยากสตรอง ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือโดยเฉพาะเรื่องงาน ก็ต้องทำตามขั้นตอนต่อไปนี้นะคะ
ขั้นแรก... เราต้องทำตัวเองให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดสิ่งดี ๆ ก่อน นึกถึงต้นไม้เข้าไว้ค่ะ ต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม ใบดกหนาก็จะดึงดูดพันธมิตรทั้งหลายให้เข้ามาพึ่งอาศัย ในตัวมันมีน้ำ แร่ธาตุ สารอาหารมากมาย ดังนั้นการที่เราจะดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามา ในตัวเราก็ต้องประกอบด้วยสิ่งดีเสียก่อน จำไว้ว่า
"สิ่งที่อยู่ในกายและใจของคุณขณะนี้ ไม่มีอย่างอื่น นอกจากส่ิงที่คุณใส่มันลงไปเอง"
จงทำท่าอุลต้าแมนแปลงร่าง แล้วท่อง "คิดบวก พูดบวก ทำบวก ดึงดูดสิ่งบวก ๆ สู่ชีวิตเรา"
ขั้นที่สอง...เห็นคุณค่าของตัวเราเองก่อน อย่าไปทำงานด้วยใจห่อเหี่ยว คิดแต่ว่าเราสู้คนอื่นไม่ได้ ชีวิตเราไม่มีอะไรดี คิดอย่างนี้มันจะไปสตรองได้อย่างไรล่ะคะ ครูบิ๊กได้สอนให้ผู้เข้าอบรมตระหนักว่า เราโชคดีแล้วที่
1)ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นภพภูมิแห่งทางเลือก เราเลือกได้ตลอดเวลาว่าจะทำดีหรือชั่ว เป็นภพภูมิที่ฝึกสติได้ มีสุขและทุกข์ให้เห็นตลอดเวลา ที่สำคัญ...แก้ความเข้าใจผิดให้ว่า "คนเราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี" นะคะ ไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมอย่างที่เคยได้ยินกัน ดังนั้นชีวิตในวันตายควรจะมีอะไรดีกว่าชีวิตตอนที่เราเกิดมา
2)ไม่พิการ เดินได้เอง หายใจได้เอง ขับถ่ายได้เอง ทานอาหารได้เอง ในขณะที่เพื่อนมนุษย์หลายคนในโลกนี้ทำไม่ได้ ขอให้มองสิ่งเหล่านี้ให้เป็นมูลค่าของตัวเองด้วย
3) มีความรู้ความสามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ ถ้ามีคนเอาเงินมากองให้ท่าน 100 ล้าน แต่ขอตัดมือท่านข้างนึง ท่านก็คงไม่เอา แปลว่าแค่มือของท่านอย่างเดียวมีค่ามากกว่า 100 ล้านใช่ไหมคะ แล้วทั้งตัวของท่านมีมูลค่าเท่าไหร่กัน ลองพิจารณาแบบนี้แล้วท่านจะรักตัวเองมากขึ้นนะคะ
จากนั้นครูบิ๊กก็ได้สอนให้มอง "เขาเหล่านั้น" ซึ่งประกอบด้วย เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง ลูกค้า ตามแบบที่พระพุทธเจ้าสอน นั่นก็คือ "เขาเหล่านั้น..ล้วนคือคนที่เคยเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง คู่ ลูก หรือญาติสายโลหิตของเรา" เราเวียนว่ายตายเกิดมายาวนานมาก พระองค์อุปมาไว้มากมาย ที่ครูบิ๊กชอบยกตัวอย่างคือ น้ำตาที่เราร้องไห้เสียใจจากเหตุพ่อตายแม่ตายนั้น มากกว่าน้ำในมหาสมุทร ดังนั้นคนทั้งหลายในโลกนี้ ที่จะไม่เคยเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง คู่ ลูก หรือญาติสายโลหิตของเรา จึงแทบหาไม่ได้เลย รู้อย่างนี้แล้ว...เราจะได้ทำงานกับเขาเหล่านั้นแบบเดียวที่เราปฏิบัติกับพ่อ แม่ พี่ น้อง คู่ ลูก หรือญาติสายโลหิตของเรานะคะ
เอาล่ะค่ะ..มาสู่ขั้นตอนของการทำงานให้สตรองกัน มี 3 ขั้นง่าย ๆ ค่ะ
1)เป็นผู้ให้
2)ไม่เบียดเบียน
3)เพียรรู้สึกตัว
1)เป็นผู้ให้ หลายคนเข้าใจผิดว่า ต้องมีเงินจึงจะสามารถซื้อหาสิ่งของมาเพื่อให้เป็นทานได้ แต่แท้จริงแล้วเราสามารถให้ของ 9 อย่างเป็นทานได้ค่ะ 9 อย่างประกอบด้วย
-วัตถุ เงินทอง สิ่งของ
-ให้เมตตา หรือที่เรามีศัพท์เฉพาะว่า "แผ่เมตตา" นั่นเองค่ะ
-ให้การกราบไหว้ อ่อนน้อม ยิ้มแย้มแจ่มใส
-ให้คำพูดที่อ่อนหวาน ไพเราะ
-ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นด้วยแรงกายแรงใจ
-ให้การเสียสละ
-ให้ความชื่นชมเมื่อผู้อื่นทำดี/ได้ดี
-ให้ข้อคิดดี ๆ หรือให้ธรรมะ
-ให้อภัย
การให้ของทั้ง 9 อย่างนี้ หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านเรียงลำดับตามความยากในการให้นะคะ คงไม่มีใครเถียงว่า ให้อภัยนั้นยากที่สุด
2)ไม่เบียดเบียน
ชาวพุทธเราหากรักษาศีลห้ากันได้ จะเป็นสังคมที่มีแต่ความสุข ไร้ซึ่งการเบียดเบียนแน่นอนค่ะ พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติศีลห้ามาให้เรารักษาเพื่อที่จะไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และไม่ต้องอ้างนะคะ ว่าศีลบางข้อรักษายาก เพราะหากตั้งใจจริงแล้ว..ศีลรักษาง่ายทุกข้อเลยค่ะ
3) เพียรรู้สึกตัว คือการมีสติ รู้สึกตัวตลอดเวลา ตรงนี้เราก็ได้ลองทำกิจกรรม "เก้าอี้แห่งใจ" กัน
เก้าอี้แห่งใจคือการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเก้าอี้ที่นั่งได้เพียงคนเดียว ผู้ท้าชิงประกอบด้วยฝ่ายพระเอก ซึ่งมาคนเดียวหล่อ ๆ กับตัวร้ายซึ่งแท็กทีมมากัน 3 คน ประกอบด้วยผีที่โลภ ผีขี้โกรธและผีขี้หลง ตรงนี้ครูบิ๊กได้อธิบายลักษณะของพระเอกและตัวร้ายให้ทราบกันก่อน
พระเอกคือสตินั้นมีลักษณะการรวมตัวกันของกายและใจ หมายความว่า เมื่อมีสติตัวและใจจะอยู่ที่เดียวกัน ไม่ปล่อยให้ใจเหม่อลอยไปที่ไหน ส่วนลักษณะของตัวร้ายทั้ง 3 นั้น ผีที่โลภจะทำให้ใจมีลักษณะอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากทำอะไรสักอย่าง ส่วนผีที่โกรธมีลักษณะของการผลักออก โกรธ ไม่ชอบ หงุดหงิด รำคาญ
และตัวสำคัญคือผีขี้หลงซึ่งเป็นปรปักษ์โดยตรงกับภาวะมีสติ ตรงนี้ครูบิ๊กได้ถามผู้เข้าอบรมทุกคนว่าผีตัวไหนร้ายที่สุด ไม่มีใครตอบถูกค่ะ ครูบิ๊กจึงเฉลยว่าผีขี้หลงนั้นร้ายที่สุด เพราะผีขี้หลงจะเอารสอร่อยและสนุกมาล่อเรา สังเกตสิคะ ว่าเวลาตัวกับใจอยู่คนละที่นั้นมันมีรสอร่อยและสนุกมากๆเลย เช่นตอนไหนล่ะคะ ก็เช่นตอนดูละคร ดูหนัง เล่น line เล่น facebook ตัวนั่งอยู่ที่นึงแต่ใจกระโดดไปอยู่ที่นึง ไปอยู่ติดกับจอทีวี จอโทรศัพท์มือถือ แต่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีสนุกและเพลิดเพลินมากเลยใช่ไหมคะ คนทั่วไปจึงยินดีและเต็มใจที่จะให้ผีขี้หลงเข้าสิงและมันก็เข้ามาสิงใจเราเนียนๆ
ในแต่ละวันตัวละครทั้ง 4 ตัว คือสติ ผีขี้โลภ ผีขี้โกรธ ผีขี้หลงก็จะผลัดกันเข้ามาครอบครองใจ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะปล่อยให้ตัวละครตัวไหนครอบครองใจเราได้ ถ้าหากอยากจะให้ใจครอบครองด้วยสติก็ต้องทำให้สติมีความ strong คือแข็งแรงเสียก่อน การทำให้สติมีสตรองนั้นก็คือการเอาใจไปไว้ที่ 3 ฐานประกอบด้วย 1)ลมหายใจ 2) กายเคลื่อนไหวและ 3)การงานที่ทำอยู่
ส่วนอีกกิจกรรมหนึ่งชื่อว่ากิจกรรม ล้อมรั้วหัวใจ
กิจกรรมนี้จะให้คนแสดงเป็นหัวใจอยู่ตรงกลางและรอบวงคือวงล้อมแห่งสติ ในที่นี้จะมีตัวละครคือผีตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัว คอยวิ่งอยู่ข้างนอก หน้าที่ของผีคือต้องแหวกเข้ามาในวงล้อมให้ได้แล้วบังคับใจไปทำโน่นนั่นนี่ตามที่ผีบัญชา
ตรงนี้ต้องขอบคุณพนักงานทุกท่านที่เล่นเป็นวงล้อมแห่งสติ เพระทำหน้าที่ได้แข็งขันมาก วงล้อมแข็งแรง ผีขี้โกรธแหวกวงล้อมเข้าไปครอบครองใจไม่ได้เลย
กิจกรรมสุดท้ายท้ายสุด คือกิจกรรมลูกโป่งหัวใจ มีคำกล่าวว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" เราจึงจะต้องดูแลใจซึ่งเป็นนายของเราให้ดีที่สุด แต่ใจนั้นก็เหมือนกับลูกโป่งซึ่งมีความเปราะบางมาก ใจอัดแน่นไปด้วยลม (หรืออารมณ์) ที่เข้าสู่ใจเราได้ทางตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย ยิ่งอารมณ์อัดเข้าสู่ใจเรามากเท่าไหร่ ใจของเราก็พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ และเมื่อใจระเบิด กายก็จะไม่มีนายคอยควบคุมอีกต่อไป ส่งผลให้อาจเกิดเรื่องเศร้าขึ้นกับชีวิตเราก็ได้
แต่ถ้าเรามีสติมาคอยกรองไว้ที่ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย สตินั้นก็จะคอยปกป้องใจเราให้รับสิ่งกระทบได้ โดยที่ใจไม่สะเทือน ลูกโป่งหัวใจไม่แตก หรือถ้าแตก....ก็แตกช้าลง
ดังนั้นฝากใจของท่าน ไว้ให้สติดูแลนะคะ เพราะที่สุดแล้ว การทำงานให้สตรอง ก็คงต้องใช้สติเป็นไม้ค้ำยันอันสำคัญค่ะ
ได้เวลาถ่ายรูปร่วมกัน
TESTIMONIALS
ครูบิ๊กมีกิจกรรมร่วมสนุกเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบของที่ระลึกให้ผู้โชคดีค่ะ
ขอขอบคุณชาวสยามควอลิตี้สตาร์ชทุกท่าน และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนทำงานด้วยความ "สตรอง" ตลอดปีและตลอดไปนะคะ