อีกครั้งที่ครูบิ๊กได้รับความไว้วางใจให้มาอบรมจิตบริการ หรือ Service mind ให้กับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสำนักสวัสดิภาพครู กระทรวงศึกษาธิการ จัด ณ มนต์เสน่ห์ริเวอร์แควรีสอร์ทแอนด์สปา จ.กาญจนบุรีค่ะ ครั้งนี้มีผู้เข้าอบรมถึง 60 ท่าน แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการสร้างจิตบริการจากข้างใน การพัฒนาบุคลิกภาพสำหรับพนักงานบริการ การสื่อสาร การใช้ภาษากาย การใช้น้ำเสียง และการรับคำตำหนิค่ะ
หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรในโครงการพัฒนาบุคลากร โครงการพัฒนาผู้ให้บริการค่ะ


บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน อาจจะเห็นว่าผู้เข้าอบรมบางท่านแต่งหน้าทำผมกันจัดเต็ม ทั้งนี้เพราะช่วงค่ำของการอบรมวันแรก จะมีงานเลี้ยงยามค่ำคืนในธีม "มนต์รักลูกทุ่ง พี่คร้าว น้องทองกวาว" ค่ะ


หลักสูตร 2 วัน วันแรกต้อนรับกรุ๊ปผู้เข้าอบรมด้วยเนื้อหาเบา ๆ แต่สำคัญมากนะคะ คือ “ความประทับใจแรกจากบุคลิกภาพของผู้ให้บริการ” นั่นเอง ครูบิ๊กได้เน้นย้ำกับผู้เข้าอบรมด้วยประโยคว่า “เสื้อผ้าพูดได้”
สุภาพบุรุษ
ได้สอนความเหมาะสมในการใส่สูทและแจ็คเก็ต การเลือกเน็คไท การแม็ทช์เน็คไทกับเสื้อเชิ้ต การเลือกรองเท้าซึ่งควรเป็นรองเท้าหนัง หากโอกาสเป็นทางการควรใส่รองเท้าแบบผูกเชือก ไม่ควรใส่ถุงเท้าสีขาวในระหว่างการทำงาน หากเลือกเสื้อลายทางควรเป็นลายทางเล็ก
สุภาพสตรี
มีทางเลือกระหว่างการใส่สูทกระโปรงและสูทกางเกง เลือกสวมใส่ได้ตามนโยบายขององค์กร แต่จุดที่ควรระวังคือ 1)สวมเข็มขัดเสมอหากลอยชาย และ 2)ความยาวของกระโปรงควรยาวเสมอเข่า จึงจะให้ลุ้คที่ดูเป็นมืออาชีพ
ที่สำคัญสุภาพสตรีควรแต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติ เพราะ “ลูกค้าจ่ายเงินมาเพื่อดูสิ่งที่รื่นรมย์” รวมถึงใบหน้าของผู้ให้บริการด้วย ส่วนเรื่องผม...ควรรวบให้เรียบร้อยไม่ให้เกะกะใบหน้าขณะรับบริการ เครื่องประดับผมก็ควรเป็นสีเข้มหรือสีดำ รองเท้าหุ้มส้นสีดำ ใส่นาฬิกาที่ขนาด สี และแบบสุภาพ สวมเครื่องประดับเสมอ โดยให้เป็นขนาดเล็ก จำนวนน้อย และไม่ใส่เครื่องประดับที่แสดงความเป็นปัจเจกมากเกินไป
ต่อไปได้พูดถึงอิริยาบถ การยืน เดิน นั่ง ของผู้ให้บริการค่ะ
การยืน : ควรใช้ท่ายืนให้เหมาะสม โดยยืนประสานมือไว้ข้างหน้าหากยืนต่อหน้าลูกค้าไทยหรือเอเชีย และยืนประสานมือไว้ข้างหลังหากยืนต่อหน้าลูกค้าชาวตะวันตก
การเดิน : สอนการเดินนำลูกค้า และเดินตามลูกค้าที่ถูกต้อง กล่าวคือ เดินนำลูกค้า ควรเดินนำหน้าแต่อยู่ค่อนไปทางขวาของลูกค้า ส่วนการเดินตามลูกค้าให้เดินตามหลัง แต่อยู่ค่อนไปทางซ้ายของลูกค้า
การนั่ง : ควรนั่งหลังตรง ไม่นั่งพิงเพราะจะทำให้เผลอเพลิน และง่วงเหงาหาวนอนได้

















ต่อมาได้พูดถึง หัวใจของรอยยิ้มที่จริงใจ คือต้องออกมาจากข้างใน หลังจากนั้น workshop การไหว้ทักทายด้วยหลัก “สยิวว” สบตา-ยิ้ม-วาจา-ไหว้





วันที่ 2 ของการอบรม
เริ่มตั้งแต่นิยามของลูกค้าวิถีพุทธค่ะ “ลูกค้าคือใคร”
ในวิถีพุทธ ลูกค้าคือ คนที่เคยเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก คู่สมรส หรือญาติสายโลหิตของเรา เพราะพุทธองค์ตรัสสอนไว้ชัดเจนว่า ในสังสารวัฏอันยาวไกลนี้ ผู้ที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ 7 แบบนี้กันนั้นหาไม่ได้ง่าย ๆ เลย ดังนั้น ทำงานครั้งต่อไป อย่าลืมพิจารณาว่าเราไม่ได้บริการลูกค้านะคะ แต่เรากำลังบริการผู้ที่เคยเป็นพ่อหรือแม่เราในชาติใดชาติหนึ่ง วางใจได้เช่นนี้ก่อนแล้วความสัมพันธ์ของเรากับลูกค้าจะอบอุ่นขึ้นค่ะ
รู้จักลูกค้าไปแล้ว ก็มารู้จัก “ผู้ให้บริการกันบ้าง” ผู้ให้บริการคือใคร....ตอบว่า ในวิถีพุทธ ผู้ให้บริการคือ ผู้ที่มีค่าในตัวเองอันประมาณมิได้ เราเป็นคน ซ้ำยังเป็นคนที่สุขภาพแข็งแรง และเราเป็นคนดีค่ะ เมื่อได้ทราบว่าเราเป็นใครแล้ว ต่อไปเมื่อจะทำงาน จงให้ผลงานสะท้อนความเป็นเราทั้งหมดที่กล่าวมานะคะ
จากนั้นมาดูกันว่า เราจะเปลี่ยนที่ทำงานให้เป็นวัด ให้เป็นเวทีที่เราจะทำบุญได้อย่างไร ไม่ยากค่ะ...ทำได้โดยการ “ให้ทาน” ตลอดเวลาที่ทำบุญไงคะ
ทานแปลว่าการให้ เราสามารถให้ของได้ 9 อย่างเป็นทาน ให้อะไรก็ได้บุญทั้งหมด และใน 9 อย่างนี้ .. มีของอยู่ 6 อย่างที่เราสามารถให้เป็นทานได้ขณะทำงานบริการลูกค้าทั้งภายนอกและภายในนะคะ ของ 6 อย่างนั้นประกอบด้วย
1. ให้เมตตา ทางสายตา และทางใจที่ปรารถนาดี
2. ให้ความอ่อนน้อม และรอยยิ้ม
3. ให้คำพูดที่ไพเราะ
4. ให้แรงกายเป็นทาน ... ซึ่งเป็นอภิสิทธิ์พิเศษ เฉพาะคนทำงานบริการเท่านั้นนะคะ
5. ให้ความชื่นชมเมื่อผู้อื่นทำดีหรือได้ดี
6. ให้อภัย โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าอาจจะทำให้เราอึดอัดคับข้องใจ
ขึ้นชื่อว่าบุญใคร ๆ ก็อยากทำใช่ไหมคะ ก็ในเมื่อโอกาสในการทำบุญอยู่แค่ตรงหน้าแล้ว จะปล่อยโอกาสผ่านไปทำไมล่ะคะ มาเปลี่ยนการทำงานของเราให้เป็นบุญกันทุกนาทีดีกว่าค่ะ
และเราได้มีโอกาสฝึกการไหว้ทักทายลูกค้ากันด้วยนะคะ
ช่วงบ่ายเริ่มด้วยการแตะเรื่องความสำคัญของบุคลิกภาพกันเล็กน้อย แม้ลูกค้าของบริษัทไอทีมีประเภท Client 1.0 ไม่มาก แต่โปรดจำไว้ว่า ในโลกนี้ไม่มีคำว่า “แต่งตัวสุภาพเกินไป” หรอกค่ะ
จากนั้นเรามาลงรายละเอียดเรื่องของการสื่อสารกับลูกค้ากันค่ะ
คนเราสื่อสารผ่านทางคำพูดเพียง 7% เท่านั้นนะคะ
อีก 38% สื่อสารผ่านน้ำเสียง
และ 55% สื่อสารผ่านภาษากายค่ะ
การสื่อสารผ่านคำพูด
ในส่วนนี้ครูบิ๊กได้สอนเรื่อง “5 ประโยคต้องห้าม” ที่คนทำงานบริการไม่ควรพูดค่ะ
การสื่อสารผ่านน้ำเสียง
หัวข้อนี้สนุกมากค่ะ เพราะครูบิ๊กสอนว่า น้ำเสียงของคนเรามี 5 ระดับ และต้ำเสียงแต่ละระดับ เหมาะสมที่จะใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ กัน ใช้น้ำเสียงผิดระดับ ก็อาจทำให้สถานการณบานปลายหรือเลวร้ายลงได้ ในทางตรงข้าม หากใช้น้ำเสียงถูกระดับ การทำงานก็จะง่ายขึ้น หรือสถานการณ์ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียวค่ะ
การสื่อสารผ่านทางภาษากาย
ภาษากายถูกถ่ายทอดผ่านทาง ดวงตา ปาก ท่ายืน ท่าทาง และการแต่งกายนะคะ ดังนั้นในแต่ละขณะ ผู้ให้บริการจะต้องมีสติระลึกรู้ตัวตลอดเวลา ยืนแสดงความพร้อม ไม่แสดงความรู้สึก (โดยเฉพาะในทางลบ) ผ่านดวงตาและปาก ที่สำคัญ...แต่งตัวให้ดูดี แต่งตัวให้เกียรติลูกค้าและโลกนี้
แต่เนื้อหาสำคัญที่สุดที่ครูบิ๊กเน้นย้ำคือ ผู้ให้บริการต้องพยายามหัดอ่านภาษากายของลูกค้าให้มาก เพราะมันจะเป็นวิธีทำให้เราพอจะเดาความต้องการของลูกค้าได้โดยไม่ต้องถาม ตรงนี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกทึ่งและเกิดความประทับใจค่ะ
จบหัวข้อสุดท้ายด้วย “ระยะห่างระหว่างบุคคล” เป็นการศึกษาระยะห่างระหว่างเรากับลูกค้า ที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกสบาย ไม่อึดอัดเพราะเราไปอยู่ใกล้เขามากเกินไป




และแล้วอีกการพบกันก็มาถึงช่วงเวลาสุดท้าย พร้อมความประทับใจ และกำลังใจของผู้บริหารอย่างเต็มเปี่ยม
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านออกไปทำงานและสร้างบุญกันนะคะ








ประมวลภาพเก็บตก
...