เมื่อเอ่ยถึง “ความโกรธ” หรือฉายาว่าเราเป็นคน “ขี้โกรธ” “ขี้โมโห” แค่ฟังก็มีแต่คนผลักไสใช่มั้ยคะ เหมือนมันเป็นต้นไม้ที่มีพิษ หากเผลอกินใบมันเข้าไปใจก็ร้อนรุ่ม ผลของความโกรธก็ทำให้เราคิด พูด ทำอะไรออกไปด้วยความรุนแรง ประชดประชัน กัดจิกข่วนตี สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและคนอื่นอยู่ร่ำไป
แต่..ทั้งที่รู้ข้อเสียของมันอย่างนี้ เราเองก็ยังเผลอให้ความโกรธครอบครองใจอยู่เรื่อย ไม่แปลกหรอกค่ะ..นั่นเพราะความโกรธ หรือ โทสะ เป็น 1 ใน 3 ขุนพลของพญามาร แม่ทัพทั้งสามนี้ เราคุ้นหูกันด้วยชื่อ “กิเลส” นั่นเอง ถ้ามาเต็มทีมก็ประกอบด้วย โลภะ โทสะและโมหะค่ะ ขุนพลแต่ละท่านก็ต้องวาดลวดลวยให้เรายอมแพ้ให้ได้แหล่ะ
แต่ข่าวดีก็คือ “มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้” ค่ะ รวมถึงฝึกบริหารความโกรธก็เช่นกัน วันนี้ครูบิ๊กมี “4 ขั้นตอนบริหารความโกรธ” มาฝากค่ะ และอย่างที่เกริ่นไปตอนแรก ครูบิ๊กขอเปรียบเทียบความโกรธเป็นต้นไม้พิษนะคะ หากสัมผัสหรือกินมันเข้าไป เราได้รับอันตรายแน่ 4 ขั้นตอนจัดการกับต้นไม้พิษนี้คือ
“ตัดทอน ถอนราก ตากทำยา กินเป็นอาหาร”
ขั้นแรก : ตัดทอน
ต้นไม้ชนิดใด ๆ ก็ตาม หากเราตัดเลาะเล็มกิ่งก้านใบของมันบ่อย ๆ มันก็จะถูกสต๊าฟให้อยู่ในขนาดที่เราควบคุมได้ เมื่อเรารู้สึกถึงความโกรธ ให้เราหยุดพูด และหยุดทำทุกสิ่งอย่าง เรียกว่าไม่ปล่อยให้ต้นไม้พิษแตกกิ่งก้านสาขาได้เลย ผลพลอยได้จากการหยุดพูดหยุดทำก็คือ เราจะได้ใช้ “ความนิ่ง” สัมผัสกับ “ตัวความโกรธ” ที่เป็นอารมณ์จริง ๆ เหมือนกับว่ามันเป็นไม้พุ่มเล็ก ๆ ในรัศมีวงแขนของเรา เราจัดการมันได้ ก็พอจะวางใจได้ในขั้นแรกก่อน
ขั้นที่สอง : ถอนราก
จากขั้นแรกที่เราตัดทอนให้ต้นไม้พิษแห่งความโกรธแคะแกร็นแล้วนั้น เราก็ยังวางใจไม่ได้เพราะต้นไม้พิษก็ยังอยู่ หากเผลอมันก็งอกงามขึ้นมาอีก จะเอาให้แน่...มีวิธีเดียวคือ “ถอนราก ถอนโคน” มันเสีย ขั้นตอนนี้ก็ต้องใช้ความนิ่งในขั้นตอนแรก ที่เราใช้สัมผัสกับความโกรธนั่นเอง พลิกคว่ำพลิกหงายดูเจ้าตัวความโกรธทุกซอกทุกมุมทีเดียวค่ะ ดูซิว่าเจ้าความโกรธนั้นมันมีลักษณะอย่างไรบ้าง มีสีมั้ย จับต้องได้มั้ย เป็นเพียงความคิดหรือความรู้สึก มันจริงแค่ไหน มันอยู่นิ่งหรือมันเปลี่ยนแปลง เวลาเราพยายามจับมัน มันดิ้นหนีมั้ย มันมีรูปร่างอย่างไร อะไรทำให้มันมีอิทธิพลเหนือเรา มันต้องการอะไรจากเรา ดู..และพิจารณามันลงไปเรื่อย ๆ จากด้านนอกคือใบ เข้าไปสู่ด้านในคือ เปลือก ลำต้น ดูมันไปจนถึงรากเลยค่ะ จบที่คำถามสุดท้ายว่า “รากของความโกรธคืออะไร” เมื่อคุณได้คำตอบ ก็ถอนมันขึ้นมาแล้วเอาไปทำลายเสีย ต้นไม้พิษก็ตายค่ะ
ขั้นที่สาม : ตากเป็นยา
อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ คนฉลาดต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งรอบตัว ต้นไม้พิษแห่งความโกรธก็เช่นกัน หลังจากเราถอนรากถอนโคนมันขึ้นมาแล้ว ทุกส่วนของมันก็ยังอยู่ครบ กูรูด้านสมุนไพรพูดไว้ว่า ต้นไม้ทุกต้นล้วนเป็นยาได้หมด ดังนั้นหากเราเอามันเผาหรือฝังก็น่าเสียดายนะ อย่ากระนั้นเลยค่ะ...ตัดส่วนที่เป็นพิษทิ้งไป แล้วคัดส่วนที่ทำยาได้ เอาไปตากแห้งไว้ดีกว่า นั่นหมายถึง มองหาประโยชน์ของความโกรธค่ะ
ฮะ..ความโกรธมีประโยชน์ด้วยเหรอ มีสิคะ..หลายประการด้วย มาดูกันเลยนะคะ
1)ความโกรธเป็นกลไกธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์อยู่รอด เพราะความโกรธเป็นกลไกธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์ป้องกันตัวเอง ด้วยวาจาหรือด้วยการกระทำ ตั้งแต่ยุคมนุษย์ถ้ำแล้ว..หากมีใครมารุกรานเราก็ต้องตอบโต้กลับไปจึงจะดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ ต้องขอบคุณความโกรธนะ เห็นมั้ย
2)ความโกรธไม่ใช่สายแอ๊ปแบ๊ว ถ้าเปรียบเป็นคน..ความโกรธก็คงเป็น “คนจริง” ค่ะ คือเป็นอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้นตรง ๆ ความโกรธจึงเป็นความรู้สึกที่จับต้องได้มากที่สุดและคมที่สุดแล้วในบรรดากิเลสทั้งสาม ชาวพุทธเรามักจะตามหา “ปัญญา” เสมอ ทั้ง ๆ ที่ปัญญานั้นอยู่ด้านหลังของกิเลสทั้งสามตัวนั่นแหล่ะ แล้วในเมื่อกิเลสตัวนี้มันปรากฎให้เราเห็นชัด ๆ คม ๆ อยู่ตรงหน้าแล้ว การดูลงไปจนถึงรากของมันแบบในขั้นตอนที่ 2 ก็นำเราไปสู่ปัญญาได้ ไม่ยากเลยค่ะ
3)ความโกรธทำให้เรา “ตื่น” ทำให้เราสลัดความนิ่งเนือยออกไปและเป็นพลังโหมให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง เหมือนอย่างเวลาไฟไหม้แล้วเราคนเดียวสามารถยกตู้เย็นออกมาได้ หรือเวลาเรารู้สึกถูกเอาเปรียบแล้วเราลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมนั่นแหล่ะค่ะ
4)ความโกรธกำลัง “ส่งสาร” บอกอะไรเราบางอย่าง ถ้าอยากรู้ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน 1 และ 2 ให้จริงจัง หยุดฟัง..แล้วพิจารณาความโกรธอย่างจริงจัง ท่านจะได้พบคำตอบค่ะ เช่น คุณผู้หญิงท่านหนึ่งขี้หึงมาก หงุดหงิดทุกครั้งที่สามีขยับตัว หากเธอลองจับได้ว่าตอนนี้กำลังหึง แต่ไม่พูด ไม่ทำสิ่งใด หยุดนิ่ง ดูตัวความหึงนั้นให้ลึกลงไปถึงราก เธอจะพบว่า ความหึงนี้มีรากมาจากความไม่มั่นคงในชีวิตของเธอเอง เธอรู้สึกขาดและพร่องอยู่ตลอดเวลา เมื่อพบชายคนที่ทำให้เธอ “เต็ม” ได้ เธอก็ยึดและหวงกั้นเขาไว้ให้เป็นของเธอแต่เพียงคนเดียว และแล้ว “ปัญญา” จะบอกกับเธอว่า เธอกำลังเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะแม้เขาไม่ปันใจไปให้หญิงอื่น แต่ความตายก็อาจพรากเขาไปได้ทุกเมื่อ สิ่งที่เธอควรทำตอนนี้คือ ทำตัวเองให้อิ่มเต็ม และยืนอยู่ได้แม้จะมีหรือไม่มีเขาก็ตาม แค่นี้เธอก็จะมีความสุขขึ้นเยอะเชียวค่ะ
เห็นรึยังว่าความโกรธมีประโยชน์จริง ๆ และท่านทราบไหมคะว่า จริง ๆ แล้ว “ความโกรธ” เอง ไม่ได้ทำร้ายเราหรอกค่ะ สิ่งที่ทำร้ายเราคือ การที่เราเก็บความโกรธไว้แนบใจ แล้วค่อย ๆ ออสโมซิสพิษของมันเข้าไป หรือการตกเป็นทาสของมันแล้วไปคิด พูด ทำ ในสิ่งที่นำความเดือดร้อนมาให้ตัวเราต่างหาก
แล้วเราจะหา “ตัวยา” จากความโกรธได้อย่างไร คำตอบก็คือ “รับสารที่ความโกรธพยายามจะบอกเรา และเมินเฉยต่อความโกรธ” นั่นเองค่ะ
ขั้นที่สี่ : กินเป็นอาหาร
หลังจากเราเลือกเฉพาะข้อดีของความโกรธ ตากแห้งเก็บไว้เป็นยาแล้ว เราก็นำข้อดีเหล่านั้นมาบริโภคเป็นประจำ นั่นหมายถึง ฝึกทำทั้ง 3 ขั้นตอนข้างต้นให้ชำนาญและเชี่ยวชาญ เมื่อเราคุ้นเคยกับมัน..เราก็จะไม่เห็นมันเป็นตัวประหลาดอีหรือเป็นต้นไม้พิษอีกต่อไป ความโกรธโผล่ในมาใจปั๊บก็ ตัดทอน..ถอนราก..ตากทำยา ๆ ๆ ๆ ฝึกจนทำได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เรียกว่าอยู่กันได้แบบพันธมิตรค่ะ
ลองนำ 4 ขั้นตอนนี้ไปใช้นะคะ แล้วเราจะรู้เลยว่าความโกรธ..ให้ประโยชน์ถ้าบริหารเป็นค่ะ
ขอให้ทุกท่านมีความสุข
ครูบิ๊ก เดอะธรรมนิสต้า