เนื้อหาช่วงเช้าเป็นหัวข้อ Service mind สไตล์พุทธ ปลูกฝังจิตบริการที่ออกมาจากหัวใจ แก่นของเนื้อหาคือการสื่อสารว่า "การได้ทำงานบริการ เป็นการทำบุญไปในตัว" ซึ่งแม้พี่น้องศาสนาคริสต์และอิสลามก็ร่วมเรียนรู้ด้วยกัน เพราะ "บุญ" เป็นชื่อของความดีและความสุข การบริการจึงเป็นโอกาสให้ศาสนิกทุกศาสนาได้ทำความดีนั่นเอง
การทำบุญ หรือ ทำความดีนั้น วิธีการง่ายที่สุดคือ "ทาน" ซึ่งแปลว่า "การให้" ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่า สิ่งที่นำมาให้เป็นทานต้องเป็นวัตถุหรือเงินทอง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถให้ของได้ 6 อย่างเป็นทาน มีอะไรบ้างนั้น..เรามาดูกันเลยค่ะ
1) ให้เมตตา - เมตตาแปลว่าความรัก เราควรมอบความรักความปราถนาดีกับลูกค้าภายในและภายนอกของเราก่อนเริ่มงานทุกวัน โดยใช้ประโยคแผ่เมตตาว่า "ขอให้.... มีความสุข"
2) ให้ไหว้ ให้ความอ่อนน้อม ให้รอยยิ้ม ซึ่งเราสามารถให้สิ่งนี้ได้กับลูกค้าทุกคน ความอ่อนน้อมและรอยยิ้มเป็นส่ิงที่ผู้ให้บริการพึงมี ทั้งยังตรงกับที่ ดร.บุญสิทธิ์ โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒนพิบูลย์ ที่สอนพนักงานว่า "เวลาคนเราเดินขึ้นเขา..ตัวเราค้อมไปข้างหน้า ดังนั้นเมื่อพนักงานบริการอ่อนน้อมค้อมตัวลง มันเป็นการบอกลูกค้าว่า ชีวิตของเรากำลังอยู่ในขาขึ้น"
3) ให้วาจาที่ไพเราะ - การพูดสิ่งที่ดี ที่เป็นบวกเป็นการทำให้ร่างกายเราเปลี่ยนเป็นแม่เหล็กดึงดูดความโชคดี การพูดคำหยาบหรือพูดสิ่งที่เป็นลบเปลี่ยนร่างกายเราเป็นแม่เหล็กดึงดูดความโชคร้าย ดังเช่นการทดลองของ ดร.อาจอง ชุมสาย ที่ให้นิสิตแช่งและด่าทอต้นดาวเรืองทุกวัน ต้นดาวเรืองหงิกงอเหี่ยวเฉา และนิสิต 2 คนถึงกับเป็นลม แน่นหน้าอกขณะกำลังแช่งต้นไม้อยู่ นั่นหมายความว่า พลังแห่งการพูดลบ ส่งผลต่อตัวเราก่อนสิ่งอื่น
4) ให้การช่วยเหลือด้วยแรงกายแรงใจ งานบริการมีอภิสิทธิ์กว่างานอื่นตรงที่ "เปิดโอกาสให้เราทำทานด้วยแรงกายตลอดเวลา ทุกนาที" รู้ดังนี้แล้วเราจะยินดีเหนื่อย เพราะตระหนักแล้วว่า แรงกายที่ให้บริการออกไปนั้น..ผู้ที่ได้(บุญ)คนแรกคือตัวเรานั่นเอง
5) ให้มุทิตาจิต (แปลว่าความชื่นชมยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเก่งกว่า หรือได้ดีกว่า) ทานข้อนี้เหมาะที่จะให้กับลูกค้าภายใน เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานทำงานดีกว่าเราหรือได้รับคำชม เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งสูงกว่าเรา แทนที่จะคิดอิจฉาริษยา ควรเดินเข้าไปแสดงความชื่่นชมยินดี เป็นการให้มุทิตาจิตเป็นทาน
6) ให้อภัย ในระหว่างให้บริการ ความขุ่นข้องหมองใจย่อมเกิดขึ้นได้ แต่จำไว้ว่า..เรามาทำงานบริการเพื่อสร้างบุญ ก็จงอย่าสร้างบาปโดยการไปผูกใจเจ็บผู้ที่อาจจะตำหนิเราหรือทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ วิธีการหนึ่งซึ่งครูบิ๊กมักแบ่งปันเสมอเพื่อไม่ให้เราโกรธแค้นลูกค้าคือ "การทำงานแบบร่างทรง" เมื่อมาทำงาน..เราเป็นเพียงร่างทรงของเทพที่ชื่อ "สำนักทะเบียนฯ" เท่านั้น เหตุการณ์ที่ทำให้เราอึดอัดคับข้องใจต่าง ๆ ระหว่างทำงาน ล้วนเป็นเทพสำนักทะเบียนที่รับไป เมื่อเลิกงานเปรียบเหมือนเทพเสด็จกลับสวรรค์ไปแล้ว ร่างทรงอย่างเราก็กลับบ้านไปใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างปกติ ไม่นำอารมณ์จากงานกลับไปปะปนวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว ทำให้เกิด work-life balance อย่างแท้จริง
ส่วนเนื้อหาช่วงบ่ายเป็นหัวข้อ "ทำงานให้สตรอง ต้องครองด้วยสติ"
ครูบิ๊กเริ่มจากแนะนำว่า "คนเราเกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี หรือทำความดี" เราควรทำดีเพ่ิมขึ้น หรือพัฒนาตัวเองขึ้นทุกวัน แต่ "พญามาร" จะไม่ยอมให้เราเป็นคนดีหรือทำความดีได้ มันจึงส่งลูกน้องฝีมือดีทั้ง 3 ตัว คือ ผีขี้โลภ ผีขี้โกรธ ผีขี้หลง เข้ามาก่อกวนมนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะทำ 3K เหล่านี้ต่อมนุษย์ นั่นคือ
1) K เข่นฆ่า พญามารและลูกน้องจะพยายามฆ่ามนุษย์ถ้าทำได้ เพราะมนุษย์มีปัญญา หากปล่อยไปมนุษย์จะพัฒนาตัวเองได้เรื่อย ๆ
2) K ขโมย พญามารไม่อยากเห็นมนุษย์ได้ดี จึงขโมยความหวัง ความฝัน ความอยากพัฒนาหาความรู้ใส่ตัวเองไปจากมนุษย์ ทำให้มนุษย์ห่อเหี่ยว ไร้พลังงาน ย่ำอยู่ที่เดิม
3) K คุกคาม ทำให้อยู่ไม่เป็นสุข ให้มนุษย์ต้องแบกทุกข์ก้อนโตแสนหนักไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา ทำให้มนุษย์เป็นกังวล วิตกจริต ไปกับเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว กับเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
ลูกน้องของพญามารคือผีทั้ง 3 ตัวนั้น จะพยายาม "เข้าสิง" ใจของมนุษย์ มนุษย์จะต้อง "รู้สึกตัว" ให้เร็ว ว่าขณะนั้นมีผีตัวไหนเข้าสิงใจ ผีแต่ละตัวเมื่อเข้าสิงจะส่งอารมณ์ไปที่ใจมนุษย์ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ
1) ผีขี้โลภ - ส่งอารมณ์ชอบทุกชนิด อยากทุกชนิด หวงกั้น ยึดติด
2) ผีขี้โกรธ - ส่งอารมณ์ไม่ชอบ ไม่อยาก เบื่อ หงุดหงิด รำคาญ โกรธ แค้น
3) ผีขี้หลง - ส่งอารมณ์ฟุ้งซ่าน เหม่อลอย สงสัย มโน ฝันกลางวัน สนุก อร่อย เพลิดเพลิน ซึ่งผีตัวนี้ร้ายที่สุดในผีทั้ง 3 ตัว เพราะมนุษย์มักไม่ค่อยรู้สึกตัวว่าผีตนนี้เข้าสิง และถึงแม้จะรู้ตัว แต่ก็ติดในรสอร่อย สนุก เพลิดเพลินที่ผีตัวนี้นำมาล่อ มนุษย์จึงยินดีตกเป็นทาสของผีตนนี้โดยเต็มใจ
จากนั้น ครูบิ๊กมาสอนเรื่อง "ธรรมชาติของใจ" ซึ่งปกติมักพาชีวิตไปในทางที่ดี แต่ก็มักยอมรับคำเชิญชวนของผี 3 ตัวอยู่เสมอ ใจที่ไร้เกราะคุ้มครองจึงมักถูกผีล่อลวงไปทำในสิ่งที่นำความเดือดร้อนมาสู่ชีวิต
"รั้ว" หรือ "เกราะ" กันใจของเราจากผีก็คือ "รั้วแห่งสติ" นั่นเอง เมื่อใด...ใจซ่อนตัวแนบอยู่กับ 3 ฐานแห่งสติ อันได้แก่ 1)ลมหายใจ 2)หายเคลื่อนไหว 3)การงานต่าง ๆ ใจก็จะปลอดภัยจากคำเชิญชวนของ "ผี"
กิจกรรมสุดท้าย สรุปเรื่องความสำคัญของ "สติ" ที่มีต่อใจของเรา ด้วยกิจกรรม "ลูกโป่งหัวใจ" ใจที่ไร้เกราะคุ้มกัน โดนเข็มจิ้มเพียงเล็กน้อยก็แตกไม่มีชิ้นดี แต่ใจที่มีสติคุ้มครอง เปรียบเหมือนลูกโป่งที่มีเทปคาดอยู่ แม้จะโดนสิ่ิงกระทบ (คือเข็ม) จิ้มกี่เล่มก็ไม่แตก ใจเป็นปกติ ชีวิตก็เป็นปกติ เป็นสุขอยู่ในได้โลก
ปิดการอบรมด้วยความประทับใจ และขอขอบพระคุณผู้บริหาร เจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนและประมวลผลทุกท่าน ที่มาพร้อมหน้า แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการพัฒนากายและใจของเรากันนะคะ ขอความดีคุ้มครองทุกท่านค่ะ
********************************************