การบรรยายในวันนี้มีผู้เข้ารับการอบรม ประมาณ 60 ท่าน บรรยากาศน่ารักอบอุ่นเป็นกันเองมากๆค่ะ ต้องขอขอบคุณผู้เข้าอบรมทุกท่านจริงๆ
ท่านผู้บริหารกล่าวเปิดงาน
ทำอย่างไรให้กายใจสมดุล เราเริ่มจากการทำให้ผู้เข้าอบรมฉุกคิดว่ามีกิจกรรม 4 อย่าง ที่เรามักจะทำให้กายเสมอเสมอ แต่เราไม่เคยทำกิจกรรมเหล่านั้นให้ใจเลย กิจกรรม 4 อย่างนั้นคือ 1 ออกกำลัง 2อาหาร 3 อาบน้ำ 4 สวมอาภรณ์
ท่านผู้อ่านก็ลองคิดดูว่าจริงไหมล่ะคะ เรามักจะออกกำลังกายเป็นประจำ ให้อาหารกายกันเป็นประจำ อาบน้ำก็วันละ 2 หน อาภรณ์หรือเสื้อผ้าที่สวมให้กลายก็คัดเลือกอย่างดี เอาให้สวยงามโดดเด้ง แต่น่าแปลกที่เราไม่เคยคิดออกกำลังใจ ไม่เคยคิดให้อาหารใจ ไม่เคยอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้ใจ และไม่เคยหาเสื้อผ้าอาภรณ์มาสวมให้ใจเลย วันนี้ผู้เข้าอบรมจะได้รู้วิธีออกกำลังใจ ให้อาหารใจ อาบน้ำให้ใจ และสวมอาภรณ์ให้ใจกันค่ะ
เริ่มจาก อ.แรก คือออกกำลังค่ะ
การออกกำลังกายคือการทำให้การเคลื่อนไหวมากที่สุด ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งแข็งแรง แต่ใจนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ...ใจ.. ยิ่งนิ่งยิ่งแข็งแรงค่ะ ดังนั้นการออกกำลังใจคือการทำให้ใจอยู่นิ่งมากที่สุด วิธีการที่เราใช้กันทั่วไปก็คือการทำสมาธิ จับใจให้มาอยู่กับลมหายใจนั่นเอง ซึ่งครูบิ๊กได้สอนวิธีการหายใจสามจังหวะ ก่อนที่จะนำผู้เข้าอบรมนั่งสมาธิเป็นเวลา 5 นาที
โดยปกติผู้เข้าอบรมมักจะบอกครูบิ๊กว่า นั่งสมาธิไม่ได้หรอก ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย ฟูฟ่องล่องลอยไปไหนก็ไม่รู้ ครูบิ๊กจึงได้เชิญผู้เข้าอบรมอีกท่านหนึ่งมาแสดงบทบาทสมมุติเป็นกายกับใจร่วมกัน ผู้เข้าอบรมจึงได้เห็นว่าเป็นธรรมดาอยู่เองที่ใจของเราจะวิ่งไปโน่นมานี่ แต่หน้าที่ของเรามีเพียงการรู้ตัวให้ทันว่าใจลอยออกไปแล้วแล้วดึงมันกลับไปอยู่กับลมหายใจ ยิ่งรู้ตัวบ่อยก็ยิ่งมีสมาธินะคะ เพราะฉะนั้นอย่าท้อกับการวิ่งไล่จับใจของเราค่ะ
มาถึงอ.ที่ 2 คือ อาหารค่ะ เราให้อาหารกายกันมาตลอดชีวิต แต่เราปล่อยให้ใจอดอยากหิวโหย ไม่ได้รับอาหารเลย หรือแม้เราจะให้อาหารก็เลือกแต่ให้อาหารเลวกับใจ
อาหารของกายมี 5 หมู่ อาหารของใจมี 3 หมู่ค่ะ
3 หมู่ประกอบด้วย ความคิด+ คำพูด + และการกระทำ ถ้าเราคิดลบ พูดลบ ทำลบ ก็เท่ากับว่าเราได้ให้อาหารขยะ ให้อาหารชั้นเลวกับใจ ให้แบบนี้นานๆใจก็เหมือนกายนะคะ ได้รับอาหารชั้นเลว วันหนึ่งเขาก็เจ็บป่วย
ดังนั้นวันนี้เรามาเราเริ่มต้นกันใหม่นะคะ โดยการให้อาหารที่ดีกับใจ โดยการคิดบวก พูดบวก และทำบวก ลองฝึกทำให้ชินแล้วท่านจะรู้ว่าการคิดบวกพูดบวก ทำบวกไม่ได้ยากเลย เพียงแต่การคิดบวก พูดบวก ทำบวกนั้นเหมือนอาหารที่มีประโยชน์ ที่มักจะไม่อร่อย เราเลยไม่ค่อยจะบริโภคให้ใจกัน ตรงข้ามกับการคิดลบ พูดลบ ทำลบ ซึ่งมักจะมีรสอร่อยและสนุก เราจึงมักให้อาหารขยะกับใจอยู่เสมอ ตรงนี้ครูบิ๊กให้ผู้เข้าอบรมทำสัญลักษณ์ของอุลตร้าแมนปล่อยแสง ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านลองทำดูก็จะพบว่ามันคือเครื่องหมายบวกนั่นเอง พวกเรามาปล่อยแสงกันพร้อม กล่าวคำขวัญว่า "คิดบวก พูดบวก ทำบวก ดึงดูดสิ่งบวกบวกสู่ชีวิตเรา"
นี่เป็นกิจกรรมจำลองการคิดบวกพูดบวกทำบวกค่ะ ใจคือแก้วน้ำใสๆ ทุกครั้งที่คิดบวก พูดบวก ทำบวกก็เหมือนเราเติมน้ำใสๆจากแก้วอีกแก้วหนึ่งลงไปในแก้วใจของเรา แต่ทุกครั้งที่เราคิดลบ พูดลบ ทำลบ ก็เหมือนเราเติมน้ำสีช้ำเลือดช้ำหนองลงไปในใจของเราเช่นกัน ลองเติมไปด้วยตัวเองแบบนี้ ผู้เข้าอบรมก็จะเห็นชัดเลยว่า และเผลอคิดลบ พูดลบ ทำลบ แป๊บเดียวมันก็ทำให้ใจเรามีสีช้ำเลือดช้ำหนองได้มากทีเดียว สีไม่น่าดูแบบนี้ ถ้ายกให้ทุกคนดื่มคงไม่มีใครกล้าดื่มใช่ไหมคะ เพราะเราเป็นห่วงกายของเรา แต่คิดดูว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเราคิดลบ พูดลบ ทำลบ มาตลอด เราได้เอาน้ำสีช้ำเลือดช้ำหนองเหล่านี้ฉีดเข้าไปในใจโดยตลอดนะคะ ทำไมเราถึงไม่รู้สึกว่ารังเกียจการคิดลบ พูดลบ ทำลบ เหล่านั้นเลย
เมื่อได้เห็นเป็นรูปธรรมแบบนี้ ทำให้ผู้เข้าอบรมเห็นเลยล่ะค่ะว่า ควรจะให้อาหารแบบไหนกับใจของเรากันแน่
ประชันความหม่นหมองของใจ
ช่วงบ่ายเป็นเรื่องของ อ.ที่ 3 คืออาบน้ำค่ะ
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เราอาบน้ำกันวันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย ถ้าพลาดไม่อาบแม้แต่วันเดียวคงส่งกลิ่นตลบอบอวล ทำเอาคนรอบข้างอยู่ไม่ได้กันเลยทีเดียว และที่สำคัญตัวท่านเองก็คงเหม็นและคันคะเยอ เกิดเป็นโรคผิวหนังในเวลาเพียงไม่นาน
แปลกไหมคะ .. เราขัดสีฉวีวรรณกายของเราทุกวัน แต่เราไม่เคยทำความสะอาดใจของเราเลย เราปล่อยให้มันสกปรกข้ามภพข้ามชาติ กี่ร้อยกี่ล้านปีแล้วก็ไม่รู้ วันนี้เรามาเรียนการทำความสะอาดใจกันหน่อยดีไหมคะ
พระพุทธเจ้าให้เครื่องมือในการทำความสะอาดใจมาแล้ว เราเรียกเครื่องมือเหล่านั้นว่า "บุญ" ค่ะ
บุญแปลว่าเครื่องชำระใจ แปลไทยเป็นไทยอีกที บุญ...ก็แปลว่าเครื่องทำความสะอาดใจนั่นเอง
ถ้าบุญแปลว่าเครื่องทำความสะอาดใจ ก็แปลว่าใจจะต้องสกปรกมาก่อนถูกต้องไหมคะ ที่นี้ถามว่าใจสกปรกจากอะไร คำตอบคือสกปรกจากผีทั้ง 3 ตัวนี้ค่ะ
ผีขี้โลภ ผีขี้โกรธ และผีขี้หลง 3 ตัวนี้ล่ะค่ะ ที่มาคอยทำให้ใจเราสกปรก ซึ่งผีแต่ละตัวก็มีฤทธานุภาพต่างกัน
เรียงตามลำดับสกปรกน้อยไปสกปรกมาก ก็จะพบว่า
ผีขี้โลภ มีฤทธานุภาพน้อย ทำใจสกปรกได้น้อย
แต่ผีขี้หลงมีฤทธานุภาพมาก ทำใจสกปรกได้มากที่สุด
ซึ่งโลภกับโกรธนั้นเราพอจะเข้าใจได้ แต่คำว่าหลงนี่คืออย่างไร ครูบิ๊กก็ได้อธิบายให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจว่า ภาวะหลงคือการที่ "ตัวกับใจอยู่กันคนละที่" ตัวอยู่ที่หนึ่ง แต่ใจฟุ้งซ่านล่องลอยออกไปที่ไหนก็ไม่รู้ ภาวะเวลามีผีขี้หลงเข้าสิงใจนี้ล่ะค่ะ ที่เรียกว่าภาวะเหม่อลอยหรือไม่มีสตินั่นเอง คนที่ไม่มีสติย่อมทำอะไรก็ได้ โดยไม่รู้ตัว ชั่วก็ได้ดีก็ได้ การมีผีขี้หลงเข้าสิงใจจึงทำให้ใจสกปรกได้มากที่สุดแบบนี้ล่ะค่ะ
จากนั้นได้ให้ผู้เข้าอบรมเล่นเกมส์ "ทำความสะอาดใจ" โดยมีอุปกรณ์สามอย่างให้เลือก ประกอบด้วย 1)ฟองน้ำ 2)แผ่นใยขัด 3)ฝอยขัดหม้อ
แล้วก็นำอุปกรณ์ทำความสะอาดมาจับคู่กับ "ผี" ที่มาทำให้ใจของเราสกปรก เราก็จะพบคู่ปรับที่ฝีมือเหมาะสมกันดังนี้
1) ฟองน้ำ มีอำนาจทำความสะอาดได้น้อย เปรียบเหมือน "การให้ทาน" ซึ่งเหมาะกับการทำความสะอาดใจที่สกปรกด้วยผีขี้โลภ คือความตระหนี่
2) แผ่นใยขัด มีอำนาจทำความสะอาดปานกลาง เปรียบเหมือน "ศีล" เหมาะกับการทำความสะอาดใจที่สกปกรกด้วยผีขี้โกรธ คือ การเบียดเบียนทำร้ายตนเองและผู้อื่น
3) ฝอยขัดหม้อ มีอำนาจทำความสะอาดสูงสุด เปรียบเหมือน "การภาวนา" เหมาะกับการทำความสะอาดใจที่สกปรกด้วยผีขี้หลง คือ การเหม่อลอยขาดสติ
จากนั้นครูบิ๊กก็พูดถึงเครื่องมือทำความสะอาดใจทีละตัวค่ะ เริ่มจาก "ทาน" ที่แปลว่า "การให้" เราสามารถให้ของได้ถึง 9 อย่าง เป็นทาน ..ใน 9 อย่างนี้ มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องใช้เงินซื้อหามา
ของ 9 อย่างนั้นประกอบด้วย 1)ทรัพย์สิน เงินทอง สิ่งของ 2)เมตตา
จากนั้นเราก็ฝึกแผ่เมตตาให้กันและกันค่ะ โดยใช้บทแผ่เมตตาอย่างง่าย "ขอให้...มีความสุข" บรรยากาศดี๊ดี มีรอยยิ้มค่ะ
ของอื่นที่เราสามารถให้เป็นทานได้ 3)การกราบไหว้ อ่อนน้อม ยิ้มแย้ม 4)วาจาที่ไพเราะ 5)ให้แรงกาย แรงใจ 6)เสียสละ 7)ยินดีเมื่อผู้อื่นทำดีหรือได้ดี 8)ให้ธรรมะหรือข้อคิดดี ๆ 9)ให้อภัย
จากนั้น พูดเรื่องของศีล 5 ซึ่งเป็นเครื่องมือทำความสะอาดใจที่สกปรกจาก ผีขี้โกรธ และเป็นคุณธรรมสำคัญ ทำให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ในชาตินี้
สุดท้าย พูดถึง อ.ที่ 4 คืออาภรณ์ หรือ เครื่องแต่งกายค่ะ
เราแต่ง "กาย" ทุกวัน แต่เราไม่เคยแต่ง "ใจ" กันเลย
อาภรณ์ของใจนั้น คือสิ่งเดียวกันกับ "ฝอยขัดหม้อ" มันคือ"การเจริญสติ" ซึ่งเป็นเครื่องมือทำความสะอาดใจทีมีฤทธิ์มากที่สุด เหมาะที่จะขัดใจจาก "ผีขี้หลง" หรือความขาดสติ คู่นี้...เหมาะกันมาก เห็นมั้ยคะ
การเจริญสติ คือการรู้ชัดในอาการของกายและใจที่ชัดที่สุดในปัจจุบัน ทำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยอย่าให้ใจลอยไปไหน ให้เอาใจกลับมารู้ที่ 3 ฐานคือ 1)ลมหายใจ 2)กายเคลื่อนไหว 3)การงานที่ทำอยู่
ฝึกทำให้ได้อย่างนี้ตลอดเวลา หรือให้บ่อยที่สุดนะคะ ใจเผลอลอยออกไปก็ดึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ถ้าหัวใจเราเปรียบเหมือนลูกโป่งลูกนี้ การรู้สึกตัวแต่ละครั้งก็เหมือนการคาดเทปใสลงไปบนลูกโป่ง
เมื่อมีสติคาดอยู่รอบ ๆ หัวใจ ไม่ว่าหัวใจดวงนี้จะโดนสิ่งกระทบทิ่มแทงอย๋างไร ใจก็ไม่แตกสลาย
ในมือครูบิ๊กคือหัวใจที่มีสติคุ้มครอง แม้จะโดนสิ่งกระทบเข้าทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างไร ใจก็ยังคงรูปเป็นใจอยู่ได้ ไม่แตกสลาย เป็นใจที่สามารถทำหน้าที่เป็นนายของกายได้ต่อไปอย่างมั่นคง
กิจกรรม "ลูกโป่งหัวใจ" นี้ คือบทสรุปของ 4 อ. ของความสมดุลแห่งกายและใจ ที่ครูบิ๊กนำมาฝากผู้เข้าอบรมทุกท่านในวันนี้ค่ะ
ก่อนจะจากลากันไปดำเนินชีวิตต่อ แต่เชื่อว่าจากนี้ ทุกท่านจะมีชีวิตที่สมดุล และมีความสุขมากขึ้นนะคะ ขอให้ผู้เข้าอบรมทุกท่าน มีความสุขค่ะ
ประมวลภาพการอบรม