หัวข้อ “ทำอย่างไรให้กายใจสมดุล” นี้ ได้รับความนิยมมากในปี 2559 สังเกตจากว่า ครูบิ๊กได้เชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อนี้ค่อนข้างบ่อย แต่ครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งคือ ได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้บริหารระดับสูงเลยทีเดียว
การบรรยายเริ่มจากการชมคลิปวิดิโอแสดงความแตกต่างกันสุดขั้ว ระหว่าง “กาย” และ “ใจ” กล่าวคือ กายเป็นก้อน เคลื่อนไหวช้า กายไม่ค่อยชอบไปไหน ส่วนใจ...จับต้องไม่ได้ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และชอบท่องเที่ยวไปเรื่อย
เมื่อกายสัมผัสของร้อนหรือแหลมคม จะวิ่งหนี หรือชักมือออกทันที ตรงข้ามกับใจที่มักจะวิ่งเข้าหาของร้อน หรือของที่ทำให้ใจเองต้องเจ็บปวด
กาย..ถ้าต้องแบกของหนัก ก็จะรีบปล่อย รีบวางทันที แต่ใจ..ยิ่งหนักก็ยิ่งแบกไว้ ยิ่งแบกก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกก็ยิ่งแบก ไม่รู้จักจบสิ้น
กาย..ถูกฝึกให้แข็งแรงได้โดยการเคลื่อนไหว แต่ใจ..จะแข็งแรงได้ก็ด้วยความสงบนิ่ง
แค่นี้ก็พอจะเห็นแล้วว่า กายกับใจ อยู่คนละขั้วกันจริง ๆ เราจึงต้องมาเรียนรู้วิธีการสร้างความสมดุลให้กับกายและใจกันค่ะ
ในการบรรยายวันนี้ ครูบิ๊กก็เริ่มตั้งแต่การจัดที่นั่งก่อน โดยเปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งแบบ classroom มาเป็นแบบตัว U สบาย ๆ กันก่อน จากนั้นจึงเข้าสู่การบรรยาย โดยเริ่มที่ภาพ “หัวใจ 4 ดวง” หรือ “4 อ” ที่เราทำให้กับกายเป็นประจำ นั่นคือ อาหาร ออกกำลัง อาบน้ำ และ อาภรณ์
ทว่า “4 อ” นี้...เราไม่เคยทำให้กับใจเลย หรือทำก็น้อยมาก ดังนั้น หากจะพูดถึงวิธี “ทำให้กายใจสมดุล” คงหนีไม่พ้น การออกกำลังใจ ให้อาหารใจ อาบน้ำให้ใจ และสวมอาภรณ์ให้ใจ ค่ะ
ออกกำลังใจ
กายจะแข็งแรงได้ก็ด้วยการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ หรือออกแรงมาก ๆ แต่ใจจะแข็งแรงได้ก็ด้วยการอยู่นิ่ง ๆ หรือเคลื่อนไหวน้อยที่สุด และวิธีการดีที่สุดที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญไว้ คือการประคองใจไว้กับลมหายใจนั่นเอง ในหัวข้อนี้ได้ให้ผู้บริหารทุกท่านลองหายใจ 3 แบบคือ
แบบแรก หายใจเข้ายาว – กลั้นไว้ – หายใจออกยาว จำนวน 3 ชุด
แบบสอง หายใจเข้าสั้น-หายใจออกสั้น ถี่ ๆ จำนวน 20 ชุด
แบบสาม หายใจเข้ายาว แล้วหายใจออกยาวทันที จำนวน 3 ชุด
จากนั้นให้หลับตาอยู่กับลมหายใจ 3 นาที
ให้อาหารใจ
เนื้อหาพูดถึงคำพูดที่ว่า “ไม่มีอะไรในกายและใจนี้ นอกจากสิ่งที่เราใส่มันลงไปเอง” เราให้อาหารขยะกับใจ ใจก็ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยง่าย แต่หากเราให้อาหารที่ดีมีประโยชน์กับใจ ใจก็แข็งแรง เรานำใจนี้ไปทำประโยชน์ได้มากมาย อาหารกายมี 5 หมู่ แต่อาหารใจมีแค่ 3 หมู่คือ
1. การคิดบวก
2. การพูดบวก
3. การทำบวก
เนื้อหาหัวข้อนี้ถ่ายทอดผ่านกิจกรรม “น้ำใสใจบริสุทธิ์” ซึ่งท่านผู้บริหารให้เกียรติออกมาร่วม “หยอดสี” ให้กับใจ
สิ่งที่เราให้กับใจ มีผลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเชียวนะคะ เพราะท่านคงเคยได้ยิน “กฎของแรงดึงดูด” ถ้าท่านให้อาหารใจด้วยความคิดลบ คำพูดลบ และทำสิ่งลบ ๆ ใจท่านก็สกปรกหมองมัว ใจนี้ก็จะดึงดูดแต่สิ่งลบ ๆ ร้าย ๆ หมอง ๆ เข้ามาสู่ชีวิตท่าน
แต่ในทางตรงข้าม...หากท่านให้อาหารใจด้วยการคิดบวก พูดบวก ชื่นชม อวยพร ทำสิ่งบวก ๆ ทำบุญ ช่วยเหลือเกื้อกูล ใจท่านก็จะสดใส แข็งแรง ใจก็จะดึงดูดแต่สิ่งบวก ๆ ดี ๆ เข้ามาสู่ชีวิตท่าน
เสริมเนื้อหาด้วยการชี้ให้เห็นความยากของการเกิดเป็นมนุษย์ และความโชคดี 4 ข้อคือ
1. เราได้เกิดเป็นคน
2. เราเป็นคนที่มีมีอวัยวะครบ 32
3. เราได้เกิดเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง
4. เราเป็นคนมีความเห็นถูกต้อง ไม่ดูถูกบุญ
ความโชคดี 4 ข้อนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มีได้กับทุกชีวิต ดังนั้นหากใครมีครบถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว ที่สำคัญ...ชีวิตเราสั้น สั้นเกินไปที่จะคิด พูด และทำ แต่สิ่งลบ ๆ
อาบน้ำให้ใจ
น่าแปลกที่เราอาบน้ำชำระกายทุกวัน วันละ 2 ครั้งเสียด้วย แต่เราไม่เคยอาบน้ำชำระใจกันเลยหนอ ในขณะที่เราใช้น้ำและสบู่อาบน้ำให้กาย พระพุทธเจ้าสอนให้เราใช้อุปกรณ์ 3 ชิ้นในการอาบน้ำให้ใจค่ะ
1. ทาน (รู้จักให้)
2. ศีล (ไม่เบียดเบียน)
3. ภาวนา (เพียรรู้สึกตัว)
เพราะ ทาน ศีล ภาวนานั้น แปลตรงตัวว่า “เครื่องชำระใจ” แปลให้ง่ายลงไปอีกคือ “เครื่องทำความสะอาดใจ” นั่นเอง กายสกปรกจากเหงื่อไคล ใจ..สกปรกจากกิเลสทั้ง 3 คือ ผีขี้โลภ ผีขี้โกรธ ผีขี้หลง ค่ะ
ทาน แปลว่า “การให้” ซึ่งเราสามารถให้ของ 9 อย่างเป็นทานได้ ประกอบด้วย ให้ทรัพย์สิน เงินทอง สิ่งของ ให้เมตตา ให้รอยยิ้มและความอ่อนน้อม ให้คำพูดที่ไพเราะ ให้แรงกายเป็นทาน ให้ความชื่นชมยินดี ให้ความเสียสละ ให้ข้อคิดดี ๆ และให้อภัย ก็จะเห็นได้ว่า ใน 9 อย่างนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องใช้เงินซื้อหามา นอกนั้นไม่ต้องใช้เงินสักบาทนะคะ
ศีล แปลว่า “ปกติ” ดังนั้น ผิดศีลก็แปลว่า “ผิดปกติ” นั่นเอง ศีลเป็นข้อปฏิบัติเพื่อไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น หากเรารักษาศีลทั้งห้าข้อได้ โอกาสที่ความโกรธจะเกิดขึ้นก็จะน้อยลง ๆ เรื่อย ๆ ค่ะ
ภาวนา แปลว่าการทำใจให้สงบ ซึ่งนอกจากจะเป็นหนึ่งในเครื่องทำความสะอาดใจแล้ว ยังเป็น “อ.” ตัวสุดท้าย ในการ สวม “อาภรณ์” ให้ใจอีกด้วย
สวม “อาภรณ์” ให้ใจ
หัวข้อนี้ครูบิ๊กเริ่มจากประโยคว่า “สวมสติ ให้เหมือน สวมเสื้อผ้า” คือมีสติตลอดเวลา หรือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งสติก็หมายถึง “รู้สึกตัว” หรือระลึกรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทางกายและใจตามความเป็นจริงที่ชัดที่สุดในปัจจุบัน นั่นเอง และครูบิ๊กได้ทำกิจกรรมประกอบเรื่อง “อาภรณ์” ใจ คือกิจกรรม “ลูกโป่งหัวใจ” นั่นเอง
ถอดรหัสกิจกรรมลูกโป่งหัวใจได้ว่า หัวใจที่ไม่มีสติคอยเป็นเกราะ เมื่อถูกสิ่งกระทบย่อมแตกระเบิดดังลูกโป่ง แต่หากเราฝึกสติหรือความรู้สึกตัวไว้บ่อย ๆ ก็เปรียบดังการคาดเทปใสไว้ที่ลูกโป่ง เมื่อใจดวงเดิมโดนสิ่งกระทบ ใจก็จะแตกช้าลง หรือไม่แตกเลย นั่นคือประโยชน์ทั้งปวงของสติค่ะ
การบรรยายจบลงอย่างสมบูรณ์ ขอบคุณผู้บริหารทุกท่านสำหรับเวลาอันมีค่า กับการบรรยายธรรมะหัวข้อ “ทำอย่างไรให้กายใจสมดุล” ขอธรรมะรักษาทุกท่านค่ะ