เนื้อหาในวันแรกของการอบรม ทำความรู้จักลูกค้า/คู่แข่ง/Service mind สไตล์พุทธ
ทำความรู้จักลูกค้า ว่าลูกค้าต้องการอะไร ซึ่งก็เหมือนกับพวกเราทุกคน แม้เราจะทำงานบริการ แต่พอถอดเครื่องแบบ เราทุกคนก็สวมบทบาทของลูกค้า ณ เวลาใดเวลาหนึ่งอย่างแน่นอน วิธีการเข้าใจลูกค้าจึงไม่ยาก เพียงแต่ใช้วิธี “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” เท่านั้น เมื่อเราเป็นลูกค้าเราต้องการอะไร...ลูกค้าของเราก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน
และครูบิ๊กยังได้สอนเทคนิคสำคัญ ในการป้องกันความผิดพลาดในการบริการด้วย นั่นคือ การหา MR.BIV นั่นเองค่ะ
MISTAKE
REPEAT
BREAKDOWN
INEFFICIENCY
VARIATION
ทั้งหมดล้วนเป็นข้อบกพร่องในการบริการที่ทำให้ลูกค้าไม่พึงพอใจ เราควรกำจัด MR.BIV ออกให้มากที่สุดค่ะ
เรามีการทำ workshop ด้วยการมองหา MR.BIV
จากนั้นเราปลูกฝังและสร้างจิตบริการกันโดยเริ่มตั้งแต่นิยามของลูกค้าวิถีพุทธค่ะ
“ลูกค้าคือใคร”
ในวิถีพุทธ ลูกค้าคือ คนที่เคยเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก คู่สมรส หรือญาติสายโลหิตของเรา เพราะพุทธองค์ตรัสสอนไว้ชัดเจนว่า ในสังสารวัฏอันยาวไกลนี้ ผู้ที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ 7 แบบนี้กันนั้นหาไม่ได้ง่าย ๆ เลย ดังนั้น ทำงานครั้งต่อไป อย่าลืมพิจารณาว่าเราไม่ได้บริการลูกค้านะคะ แต่เรากำลังบริการผู้ที่เคยเป็นพ่อหรือแม่เราในชาติใดชาติหนึ่ง วางใจได้เช่นนี้ก่อนแล้วความสัมพันธ์ของเรากับลูกค้าจะอบอุ่นขึ้นค่ะ
รู้จักลูกค้าไปแล้ว ก็มารู้จัก “ผู้ให้บริการกันบ้าง” ผู้ให้บริการคือใคร....ตอบว่า ในวิถีพุทธ ผู้ให้บริการคือ ผู้ที่มีค่าในตัวเองอันประมาณมิได้ เราเป็นคน ซ้ำยังเป็นคนที่สุขภาพแข็งแรง และเราเป็นคนดีค่ะ เมื่อได้ทราบว่าเราเป็นใครแล้ว ต่อไปเมื่อจะทำงาน จงให้ผลงานสะท้อนความเป็นเราทั้งหมดที่กล่าวมานะคะ
จากนั้นมาดูกันว่า เราจะเปลี่ยนที่ทำงานให้เป็นวัด ให้เป็นเวทีที่เราจะทำบุญได้อย่างไร ไม่ยากค่ะ...ทำได้โดยการ “ให้ทาน” ตลอดเวลาที่ทำบุญไงคะ
ทานแปลว่าการให้ เราสามารถให้ของได้ 9 อย่างเป็นทาน ให้อะไรก็ได้บุญทั้งหมด และใน 9 อย่างนี้ .. มีของอยู่ 6 อย่างที่เราสามารถให้เป็นทานได้ขณะทำงานบริการลูกค้าทั้งภายนอกและภายในนะคะ ของ 6 อย่างนั้นประกอบด้วย
1. ให้เมตตา ทางสายตา และทางใจที่ปรารถนาดี
2. ให้ความอ่อนน้อม และรอยยิ้ม
3. ให้คำพูดที่ไพเราะ
4. ให้แรงกายเป็นทาน ... ซึ่งเป็นอภิสิทธิ์พิเศษ เฉพาะคนทำงานบริการเท่านั้นนะคะ
5. ให้ความชื่นชมเมื่อผู้อื่นทำดีหรือได้ดี
6. ให้อภัย โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าอาจจะทำให้เราอึดอัดคับข้องใจ
ขึ้นชื่อว่าบุญใคร ๆ ก็อยากทำใช่ไหมคะ ก็ในเมื่อโอกาสในการทำบุญอยู่แค่ตรงหน้าแล้ว จะปล่อยโอกาสผ่านไปทำไมล่ะคะ มาเปลี่ยนการทำงานของเราให้เป็นบุญกันทุกนาทีดีกว่าค่ะ
เนื้อหาในวันที่สองของการอบรม เนื้อหาครอบคลุมเรื่อง 1) บุคลิกภาพสำหรับพนักงานบริการ 2) การ upselling-crosselling 3) การสื่อสารกับลูกค้า
บุคลิกภาพสำหรับพนักงานบริการ
เนื้อหาเบา ๆ แต่สำคัญมากนะคะ คือ “ความประทับใจแรกจากบุคลิกภาพของผู้ให้บริการ” นั่นเอง ครูบิ๊กได้เน้นย้ำกับผู้เข้าอบรมด้วยประโยคว่า “เสื้อผ้าพูดได้”
สุภาพบุรุษ
ได้สอนความเหมาะสมในการใส่สูทและแจ็คเก็ต การเลือกเน็คไท การแม็ทช์เน็คไทกับเสื้อเชิ้ต การเลือกรองเท้าซึ่งควรเป็นรองเท้าหนัง หากโอกาสเป็นทางการควรใส่รองเท้าแบบผูกเชือก ไม่ควรใส่ถุงเท้าสีขาวในระหว่างการทำงาน หากเลือกเสื้อลายทางควรเป็นลายทางเล็ก
สุภาพสตรี
มีทางเลือกระหว่างการใส่สูทกระโปรงและสูทกางเกง เลือกสวมใส่ได้ตามนโยบายขององค์กร แต่จุดที่ควรระวังคือ 1)สวมเข็มขัดเสมอหากลอยชาย และ 2)ความยาวของกระโปรงควรยาวเสมอเข่า จึงจะให้ลุ้คที่ดูเป็นมืออาชีพ
ที่สำคัญสุภาพสตรีควรแต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติ เพราะ “ลูกค้าจ่ายเงินมาเพื่อดูสิ่งที่รื่นรมย์” รวมถึงใบหน้าของผู้ให้บริการด้วย ส่วนเรื่องผม...ควรรวบให้เรียบร้อยไม่ให้เกะกะใบหน้าขณะรับบริการ เครื่องประดับผมก็ควรเป็นสีเข้มหรือสีดำ รองเท้าหุ้มส้นสีดำ ใส่นาฬิกาที่ขนาด สี และแบบสุภาพ สวมเครื่องประดับเสมอ โดยให้เป็นขนาดเล็ก จำนวนน้อย และไม่ใส่เครื่องประดับที่แสดงความเป็นปัจเจกมากเกินไป
ต่อไปได้พูดถึงอิริยาบถ การยืน เดิน นั่ง ของผู้ให้บริการค่ะ
การยืน : ควรใช้ท่ายืนให้เหมาะสม โดยยืนประสานมือไว้ข้างหน้าหากยืนต่อหน้าลูกค้าไทยหรือเอเชีย และยืนประสานมือไว้ข้างหลังหากยืนต่อหน้าลูกค้าชาวตะวันตก
การเดิน : สอนการเดินนำลูกค้า และเดินตามลูกค้าที่ถูกต้อง กล่าวคือ เดินนำลูกค้า ควรเดินนำหน้าแต่อยู่ค่อนไปทางขวาของลูกค้า ส่วนการเดินตามลูกค้าให้เดินตามหลัง แต่อยู่ค่อนไปทางซ้ายของลูกค้า
การนั่ง : ควรนั่งหลังตรง ไม่นั่งพิงเพราะจะทำให้เผลอเพลิน และง่วงเหงาหาวนอนได้
ต่อมาได้พูดถึง หัวใจของรอยยิ้มที่จริงใจ คือต้องออกมาจากข้างใน หลังจากนั้น workshop การไหว้ทักทายด้วยหลัก “สยิวว” สบตา-ยิ้ม-วาจา-ไหว้
การ upselling / crossselling (การเพิ่มยอดขายโดยพนักงานบริการ)
หัวข้อเล็ก ๆ แต่เชื่อว่า เจ้าของกิจการและหัวหน้างานทุกท่านอยากปลูกฝังให้พนักงานมีวิญญาณของนักขายอยู่ในตัวกันทุกคนใช่ไหมคะ หากพนักงานทุกคนช่วยกันเชียร์ขายคนละเล็กละน้อย ในแต่ละวันยอดขายจะเพิ่มมหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งครูบิ๊กก็ได้ปลูกฝังว่า งานขายไม่ใช่งานของฝ่ายขายแต่เพียงอย่างเดียว แต่พนักงานบริการทุกคนมีหน้าที่ขายอยู่ในตัวด้วย เริ่มจากการขายความมั่นใจก่อนโดย “แต่งกายให้เรียบร้อยและมีความรู้เรื่องสินค้าเป็นอย่างดี” เสียก่อน ทุกอย่างก็จะง่ายตามมา จากนั้นได้ให้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าสนใจและตอบรับการเชียร์ขายของเรา อาทิ เช่น เชียร์ขายเพียง 1 อย่างเท่านั้น (มากกว่านี้จะกลายเป็นเซ้าซี้ยัดเยียด อาจทำให้ลูกค้ารำคาญได้) และที่สำคัญ .. เวลาเชียร์ขายเราควรใช้คำถามปลายปิดนะคะ เช่น ลูกค้าสั่งข้าวผัดปู หากเราจะเชียร์ขายเครื่องดื่ม ก็ไม่ควรถามว่า “รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” แต่ควรถามว่า “รับน้ำมะนาวเย็น ๆ ทานคู่กันไหมคะ”
เทคนิคการเชียร์ขายจริง ๆ แล้วยังมีอีกมากมายนะคะ สนใจติดตามได้ที่แฟนเพจ “ฝึกอบรมงานบริการด้วย Service mind สไตล์พุทธ” ค่ะ
การสื่อสารกับลูกค้า
เรามาลงรายละเอียดเรื่องของการสื่อสารกับลูกค้ากันค่ะ
คนเราสื่อสารผ่านทางคำพูดเพียง 7% เท่านั้นนะคะ
อีก 38% สื่อสารผ่านน้ำเสียง
และ 55% สื่อสารผ่านภาษากายค่ะ
การสื่อสารผ่านคำพูด
ในส่วนนี้ครูบิ๊กได้สอนเรื่อง “5 ประโยคต้องห้าม” ที่คนทำงานบริการไม่ควรพูดค่ะ
การสื่อสารผ่านน้ำเสียง
หัวข้อนี้สนุกมากค่ะ เพราะครูบิ๊กสอนว่า น้ำเสียงของคนเรามี 5 ระดับ และน้ำเสียงแต่ละระดับ เหมาะสมที่จะใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ กัน ใช้น้ำเสียงผิดระดับ ก็อาจทำให้สถานการณบานปลายหรือเลวร้ายลงได้ ในทางตรงข้าม หากใช้น้ำเสียงถูกระดับ การทำงานก็จะง่ายขึ้น หรือสถานการณ์ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียวค่ะ
การสื่อสารผ่านทางภาษากาย
ภาษากายถูกถ่ายทอดผ่านทาง ดวงตา ปาก ท่ายืน ท่าทาง และการแต่งกายนะคะ ดังนั้นในแต่ละขณะ ผู้ให้บริการจะต้องมีสติระลึกรู้ตัวตลอดเวลา ยืนแสดงความพร้อม ไม่แสดงความรู้สึก (โดยเฉพาะในทางลบ) ผ่านดวงตาและปาก ที่สำคัญ...แต่งตัวให้ดูดี แต่งตัวให้เกียรติลูกค้าและโลกนี้
แต่เนื้อหาสำคัญที่สุดที่ครูบิ๊กเน้นย้ำคือ ผู้ให้บริการต้องพยายามหัดอ่านภาษากายของลูกค้าให้มาก เพราะมันจะเป็นวิธีทำให้เราพอจะเดาความต้องการของลูกค้าได้โดยไม่ต้องถาม ตรงนี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกทึ่งและเกิดความประทับใจค่ะ
จบหัวข้อสุดท้ายด้วย “ระยะห่างระหว่างบุคคล” เป็นการศึกษาระยะห่างระหว่างเรากับลูกค้า ที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกสบาย ไม่อึดอัดเพราะเราไปอยู่ใกล้เขามากเกินไป
ช่วงบ่ายนี้มีไฮไลท์คือการ workshop ฝึกปฏิบัติการทักทาย ยืน เดิน และบริการลูกค้าค่ะ
เนื้อหาในวันที่สามของการอบรม ภาวะผู้นำ/การให้คำปรึกษา/การรับคำตำหนิ/สรุป
ภาวะผู้นำและการให้คำปรึกษา
เนื่องจากผู้เข้าอบรมเป็นหัวหน้าแผนกทั้งหมด หน้าที่อย่างหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือการนำทีมและให้คำปรึกษากับลูกน้องนั่นเอง เราได้พูดกันถึงเรื่อง การสั่งงาน 4 แบบ
1. แบบบังคับให้ปฏิบัติ
2. แบบขอร้องให้ปฏิบัติ
3. แบบให้ข้อเสนอแนะ หรือให้คำแนะนำ
4. แบบขออาสาสมัครในการปฏิบัติ
หัวหน้างานต้องเลือกแบบที่เหมาะกับบุคลิกภาพตัวเองและธรรมชาติของลูกน้อง
จากนั้นแบ่งปันการให้คำปรึกษา (Counselling) แก่พนักงาน ซึ่งมีเทคนิคมากมาย แต่ข้อที่สำคัญคือ Talk behavior, not personality คือ ให้พูดถึงพฤติกรรมที่พนักงานควรปรับปรุง ไม่พูดถึงบุคลิกของพนักงาน เช่น ห้ามพูดว่า “ซุ่มซ่ามจริง ๆ เธอ” แต่ควรพูดว่า “น้องควรใช้ความระมัดระวังให้มากกว่านี้เวลาทำงานนะคะ”
การรับคำตำหนิ
ได้ปลูกฝังว่า ในฐานะหัวหน้าแผนก ควรมีการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ (small talk) บ่อย ๆ เพราะนั่นคือแหล่งข้อมูลที่แท้จริงว่าลูกค้ารู้สึกอย่างไร จงอย่าเชื่อสิ่งที่ลูกค้าเขียนในแบบสอบถามแต่เพียงอย่างเดียว และเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น เราสามารถใช้หลัก ALERT ในการรับคำตำหนิได้
APOLOGISE
LISTEN
EMPHATHY
RESPONSE
THANK
ที่สำคัญ...การป้องกันดีกว่าการแก้ไข จะดีกว่าไหมหากเราสามารถป้องกันความผิดพลาดในการบริการก่อนที่มันจะเกิดขึ้น วิธีการนี้เรียกว่า POKE-YOKE (โปเกะ โยเกะ) เป็นวิธีการป้องกันความผิดพลาดขององค์กรในญี่ปุ่น ซึ่งพูดถึงวิธีป้องกันความผิดพลาด ทั้งกรณีเป็นความผิดของลูกค้าและความผิดจากฝั่งผู้ให้บริการเอง
เหนือสิ่งอื่นใด...มีเรื่องที่เราไม่ควรทำขณะรับคำตำหนิอยู่ 6 ประการนะคะ อาทิ การแก้ตัว การท้าทายหรือตำหนิลูกค้ากลับ การทำให้ปัญหาใหญ่กว่าที่เป็น
ที่โรงแรมนี้ก็อาจจะเหมือนกับองค์กรของหลายๆท่าน ที่มีกรุ๊ปไลน์สำหรับ excom โดยเฉพาะ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติก็คือ ตอนเช้าเมื่อทุกคนมาเปิดกรุ๊ปไลน์ สิ่งแรกที่ได้อ่าน คือปัญหาต่างๆที่รอการแก้ไขในวันนั้น