หลักสูตรการควบคุมอารมณ์นี้ ใช้เวลา 9 ชั่วโมง เนื้อหาประกอบด้วย
คาบที่ 1 : การทำงานของอารมณ์และอุปสรรคของการควบคุมอารมณ์ (3 ชั่วโมง)
คาบที่ 2: workshop การควบคุมอารมณ์ 5 ขั้นตอน (3 ชั่วโมง)
คาบที่ 3: การทำงานโดยปราศจากตัวตน (3 ชั่วโมง )
เนื้อหาทั้ง 3 คาบมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
คาบที่ 1 : การทำงานของอารมณ์และอุปสรรคของการควบคุมอารมณ์ (3 ชั่วโมง)
ก่อนอื่นครูบิ๊กได้ปูพื้นฐานว่า ที่จะประสบความสำเร็จในโลกยุคปัจจุบันคือผู้ที่มี EQ ดี มิใช่ผู้ที่มี IQ ดี EQ หรือ Emotional Quotiant ก็คือทักษะในการควบคุมอารมณ์นั่นเอง ผู้ที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ย่อมเกิดความมันรำคาญใจ หรือแม้แต่เกิดภัยอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ จากนั้นครูบิ๊กได้ให้ผู้เข้าอบรมแบ่งปันสถานการณ์ในที่ทำงาน หน้าที่แต่ละคนเธอตกเป็นทาสของอารมณ์ทำอะไรหรือพูดอะไรบางอย่างที่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง จากนั้นครูบิ๊กจึงเฉลยว่า “พญามาร “ คือผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังอารมณ์ต่าง ๆ โดยพญามารจะส่งลูกสมุนมือขวาทั้ง 3 ตัว มาล่อหล่อกมนุษย์ให้ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ สมุนเรานั้นเราเรียกว่า “ผี 3 ตัว” ซึ่งประกอบด้วย
1)ผีขี้โลภ มีหน้าที่ส่งอารมณ์อยากทุกชนิด อารมณ์ยึดติด ขี้เหนียว หวงกั้น มาล่อหลอกมนุษย์
2)ผีขี้โกรธ มีหน้าที่ส่งอารมณ์ไม่ชอบ ไม่อยาก เบื่อ หงุดหงิด รำคาญ โกรธ แค้น อาฆาต พยาบาท มาล่อหล่อกมนุษย์
3)ผีขี้หลง มีหน้าที่ส่งอารมณ์ฟุ้งซ่าน ใจลอย มโน ฝันกลางวัน สงสัย ไร้สติ สนุก อร่อย เพลิดเพลิน เข้าครอบครองใจมนุษย์
ผีทั้งสามตัว สามารถเข้าครอบครองใจมนุษย์ได้ผ่านสิ่งที่เข้ากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกายสัมผัส ซึ่งผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่แบ่งปันว่า ในที่ทำงานนั้น..ส่วนมากผีเข้าสิงทางตาและหูมากที่สุด
จากนั้นได้ทำ workshop ผ่านกิจกรรม “มันคืออะไร” โดยให้ผู้เข้าอบรบดูภาพ ฟังคลิปเสียง ดมกลิ่น และลิ้มรสสิ่งต่าง ๆ แล้วฝึก “จับผี” ซึ่งก็คือการฝึก “รู้ทัน” อารมณ์ที่ผีส่งเข้าครอบครองใจขณะนั้นนั่นเอง เช่น ได้เห็นภาพวิวสวย ๆ แล้วรู้สึกชอบ นั่นคือ “ผีขี้โลภ” เข้าสิงใจ ได้ดมกลิ่นต้นหอมแล้วรู้สึกไม่ชอบ นั่นคือผีขี้โกรธเข้าสิงใจ ซึ่งขั้นตอนการ “รู้ทัน” ผีที่เข้าสิงใจนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดหากเราต้องการควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้ ผู้เข้าอบรม”จับผี” ได้แม่นยำและว่องไวมากค่ะ
คาบที่ 2 : workshop การควบคุมอารมณ์ 5 ขั้นตอน (3 ชั่วโมง)
เนื้อหาประกอบด้วย :
1)การทำงานของใจ : ชีวิตของคนประกอบด้วยกายและใจ พญามารและลูกน้องทั้งสามจะพยายามเข้าครอบครองใจให้ได้ เพราะ “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ครูบิ๊กให้ผู้เข้าอบรมมาร่วมแสดงบทบาทสมมติเพื่อถ่ายทอดเนื้อหาส่วนนี้
2)เครื่องมือเดียวที่จะช่วยเป็น “รั้ว” กันใจของเราจากการคุกคามของผีทั้งสามตัวก็คือ “สติ” นั่นเองค่ะ สติแปลว่า “รู้สึกตัว” เมื่อเราถูกผีเข้าครอบงำหรือชักจูงแล้วเรา “รู้สึกตัว” ได้ไว เราก็จะปล่อยมือและสลัดจากการเกาะกุมของผี แล้วนำใจมาเกาะเกี่ยวอยู่กับ 3 ฐานที่มั่นแห่งสติ ซึ่งประกอบด้วย
2.1 ฐานลมหายใจ
2.2 ฐานกายเคลื่อนไหว
2.3 ฐานการงาน (กิจวัตรประจำวันหรืองานที่ทำงานก็ได้)
3)จากนั้นครูบิ๊กเสนอวิธีการฝึกสติในที่ทำงานโดยการฝึกนำใจกลับมาไว้ที่ฐาน 2.1 และ 2.2 หลายวิธี ได้แก่
3.1 ใช้ Application ที่เราสามารถกำหนดให้มีเสียงเตือน เช่น เสียงระฆัง ตามความถี่ที่ต้องการ เมื่อได้ยินเสียงระฆังก็ได้นำใจกลับมารู้สึกตัว
3.2 จูนเครื่องดนตรีของคุณก่อนบรรเลง หาเวลาว่างให้ตัวเองก่อนเริ่มงาน : ก่อนที่จะเริ่มงานไม่ว่าจะเป็นงานเดี่ยวหรืองานกลุ่ม ให้หาโอากสทำความสงบกันก่อน 1-3 นาที
3.3 กำหนดสัญญาณเพื่อการรู้สึกตัวระหว่างวัน ครั้งละ 30 วินาที / 1 นาที / หรือ 3 ลมหายใจ โดยท่านสามารถเลือกสัญญาณได้จาก
- เสียงที่เรามักได้ยินในชีวิตทำงานประจำวัน เช่น เสียงโทรศัพท์ เสียงนกหวีด เสียงปิดเปิดประตู
- การเดิน ให้กำหนดเส้นทางการเดินเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง แล้วตั้งใจว่า..เมื่อเดินเส้นทางนั้นจะเดินแบบรู้สึกตัว
- กิจกรรมธรรมดา ๆ ที่ทำประจำ ให้กำหนดกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งในชีวิตประจำวันหรือในที่ทำงาน แล้วตั้งใจว่า..เมื่อทำกิจกรรมนั้นจะทำแบบรู้สึกตัวโดยตลอด
3.4 กำหนด“โต๊ะ” ทำงาน หรือ “ห้อง” ทำงาน คือกำหนดว่า หากมานั่งทำงานที่โต๊ะนี้หรือห้องนี้ จะทำงานแบบรู้สึกตัวให้มากและบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากนั้นครูบิ๊กได้ให้ผู้เข้าอบรมแต่ละท่าน เลือกวิธีการฝึกสติในชีวิตการทำงานตามข้อ 3.1-3.4 ที่คิดว่าตนเองสะดวกและน่าจะทำได้ทุกวัน ซึ่งน่าดีใจมากที่ผู้เข้าอบรมหาโอกาสเจริญสติได้ทุกคน ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการห้องอาหารจะใช้กระดิ่งที่กุ๊กกดเรียกบริกร เป็นสัญญาณให้รู้สึกตัว ฝ่ายขายจะให้พนักงานทุกคนรู้ลมหายและและทำความสงบก่อนประชุม 1 นาที พนักงานอีกท่านหนึ่งจะใช้เส้นทางเดินไปและกลับจากลานจอดรถเป็นเส้นทางแห่งการเดินรู้สึกตัว
ได้ลองฝึกนั่งสมาธิ ยืนสมาธิ และเดินด้วยความรู้สึกตัว อย่างละ 5 นาที เพื่อให้ผู้เข้าอบรมนำไปฝึกต่อในชีวิตประจำวันได้
4) Workshop การควบคุมอารมณ์ 5 ขั้นตอน อันประกอบด้วย
ขั้นที่ 1 : รู้ผีสิง
ขั้นตอนนี้นำความรู้จากการใช้สติ “จับผี” ที่ได้ฝึกไปก่อนหน้านี้มาใช้
ขั้นที่ 2 : ทิ้งฉับพลัน
ขั้นตอนนี้ครูบิ๊กสอนผ่าน workshop “กฎ 5 วินาที” หรือ “5-second rule” แนวคิดนี้กำลังเป็นที่นิยมมากในสหรัฐอเมริกา เป็นเทคนิคการทิ้งอารมณ์เพื่อตัดสินใจทำหรือพูดอะไรบางอย่างที่ฝืนความรู้สึก โดยการนัดถอยหลังในใจ (หรือนับออกเสียงก็ได้) ว่า 5-4-3-2-1 แล้วทำหรือพูดสิ่งนั้นออกไปทันที
กิจกรรมนี้ให้ผู้เข้าอบรมใช้มือกุมลูกปิงปองที่ลอยอยู่ในน้ำอุ่นจัด ให้มือเปรียบเสมือนใจของเรา และลูกปิงปองเปรียบเสมือนอารมณ์ที่เราจับมันได้จากขั้นตอน “รู้ผีสิง” เมื่อจับอารมณ์ได้แล้ว ให้ใช้สติบอกตัวเองว่าจะทิ้งอารมณ์นั้นไปภายใน 5 วินาที โดยการนับ 5-4-3-2-1 แล้วปล่อยลูกปิงปองกลับลงไปในถ้วยน้ำ ใจก็กลับเป็นอิสระอีกครั้ง ครูบิ๊กให้ฝึกกุมลูกปิงปองและปล่อยเช่นนี้ประมาณ 6-7 รอบ เพื่อให้จดจำเทคนิคการปล่อยใจจากการเป็นทาสของอารมณ์
ขั้นที่ 3 : ผันร่างกาย
ตามธรรมชาติแล้วใจต้องมีที่อยู่ เมื่อใจไม่ไปเกาะกุมอารมณ์ก็ต้องหาที่ให้ใจยึดเกาะ เหมาะที่สุดคือฐานที่ตั้งของสติข้อ “ลมหายใจ” และ “กายเคลื่อนไหว” แต่ครูบิ๊กมักแนะนำฐานกายเคลื่อนไหวเพราะฐานนี้ฝึกและรู้สึกได้ง่าย หมายความว่าเมื่อทิ้งอารมณ์แล้ว..เราควรขยับร่างกายหรือเปลี่ยนอิริยาบทแล้วนำใจมารู้สึกหรือเกาะกุมร่างกายที่เคลื่อนไหวนั้น จะช่วยผ่อนอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ในบางสถานการณ์..การเปลี่ยนอิริยาบทอาจเป็นไปไม่ได้ เช่น ขณะโดนลูกค้าตำหนิอยู่ตรงหน้า ในกรณีนี้..ครูบิ๊กแนะนำให้ขยับร่างกายโดยการ “พยักหน้า”
เมื่อทำครบมาถึงขั้นตอนที่ 3 นี้ เราควรจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้แล้ว แต่ในกรณีที่รู้สึกว่ายังควบคุมอารมณ์ได้ไม่เต็มที่นัก ให้ทำขั้นตอนที่ 4-5 ต่อได้
ขั้นที่ 4 : ย้ายโฟกัส
ย้ายความสนใจของตนเองจากเรื่องที่เร่งเร้าอารมณ์ของตนเองเมื่อสักครู่ ไปยังเรื่องอื่นๆ เช่น เมื่อสักครูกำลังบริหารอารมณ์โกรธของตนเองจากเหตุการณ์ลูกค้าตำหนิด้วยคำพูดรุนแรง ก็ให้ย้ายความสนใจของตนเองไปที่ลูกค้าคนอื่น ๆ เดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน เดินไปห้องน้ำ เดินไปดื่มน้ำ หรือคิดถึงสมาชิกในครอบครัวเพื่อให้เกิดกำลังใจในการทำงานต่อไป
ขั้นที่ 5 : จัดคำพูด
เมื่อทำมาถึงขั้นตอนนี้ก็หมายความว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์ได้แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า ใจของเราจะไม่กลับไปคลุกคลีกับอารมณ์นั้นอีก ให้เราแต่งคำพูดในทางบวกเพื่อเตือนตนเองสัก 3-5 ประโยค แล้วท่องออกเสียงหรือท่องในใจสัก 3-4 รอบ และทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าใจกำลังกลับไปคลุกคลีกับอารมณ์นั้น..ก็ให้รีบท่องประโยคเหล่านั้น จับอารมณ์ได้...ท่อง / จับอารมณ์ได้...ท่อง /จับอารมณ์ได้...ท่อง ๆๆๆ ทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ ใจจะเริ่มเข้มแข็งและเอาชนะอารมณ์ได้ในที่สุดค่ะ
จากนั้นเป็น workshop ให้ผู้เข้าอบรมวางแผนควบคุมอารมณ์ของตนเอง โดยใช้สถานการณ์ที่เรามักพ่ายแพ้ต่ออารมณ์บ่อย ๆ เป็นโจทย์ จากนั้นให้แต่ละคนนำเสนอแลกเปลี่ยนกระบวนการควบคุมอารมณ์ของตนเอง ยกตัวอย่างผู้ช่วยผู้จัดการต้อนรับส่วนหน้า ที่บางครั้งเผลอหงุดหงิดและชักสีหน้าเวลาที่แขกกรุ๊ปทัวร์มารอเช็คอินแบบไม่เข้าแถว แต่มารุมที่หน้าเค้าน์เตอร์ วิธีการที่ท่านใช้ 5 ขั้นตอนคือ
รู้ผีสิง : รู้ว่าตอนนี้ผีขี้โกรธเข้าสิงใจแล้ว
ทิ้งฉับพลัน : นับในใจ 5-4-3-2-1 ทิ้ง
ผันร่างกาย : ขยับส่วนเปลือกตา โดยการ “กะพริบตาถี่ๆ” และ “ยิ้ม”
ย้ายโฟกัส + จัดคำพูด : คือย้ายใจที่หงุดหงิดจากลูกค้าที่มารุมหน้าเค้าเตอร์เป็นปึก มาโฟกัสที่ลูกค้าคนที่อยู่ตรงหน้าคนเดียวเท่านั้น หายใจลึก ๆ แล้วท่องในใจว่า “ฉันรักแขกทุกคน ฉันบริการได้ดี ฉันมีรอยยิ้มให้แขกทุกชาติทุกภาษา”
คาบที่ 3 : การทำงานโดยปราศจากตัวตน 3 ชั่วโมง
หัวข้อนี้มีความประสงค์ให้คนทำงานยอมรับในความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำงานได้
ในหลายองค์กรมีวัฒนธรรมในการกล่าวโทษกัน คือเมื่อเกิดข้อผิดพลาดแล้วคำถามแรกที่ถามกันคือ “ใครทำ” “ใครรับเรื่อง” มัวแต่สืบสาวหาคนทำจนละเลยการแก้ปัญหาให้ลูกค้าตรงหน้า สถานการณ์เช่นนี้สามารถแก้ไขได้โดยการ “แก้ปัญหาด้วยหลัก 3 ป. : ปกติ-เป็นกลาง-ปัญญา” เมื่อเกิดปัญหาขึ้นให้ใช้หลัก “ค้นหาสาเหตุให้พบด้วยปัญญา ไม่มัวมองหาที่ซัดทอด”
ในส่วนของ ป.ปกติ และ ป.เป็นกลางนั้น หลักง่ายๆคือ..เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น จำไว้ว่าเราจะไม่ถามคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Who แต่จะถาม What และ How คือถามว่า เราจะทำอะไรได้บ้างเพืื่อแก้ไขปัญหา หรือ เราควรทำอย่างไรในสถานการณ์นี้
ส่วน ป.ปัญญา คือการเรียนรู้จากปัญหา และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานั้นซ้ำอีก หรือหากเกิดขึ้นก็ต้องแก้ปัญหาได้ดีกว่า รวดเร็วกว่า มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ในหัวข้อนี้ครูบิ๊กได้ให้ผู้เข้าอบรมทำ workshop โดยแบ่งผู้อบรมตามแผนกของตนเอง แล้วให้ระดมสมอง มองหา MR.BIV ในแผนก MR.BIV ย่อมาจาก
Mistake ความผิดพลาด
Repeat ความทำซ้ำๆ ซาก ๆ
Breakdown ความไม่ต่อเนื่อง ไม่ลื่นไหล
Inefficiency ความไม่มีประสิทธิภาพ
Variable ความหลากหลาย ไร้มาตรฐาน
เมื่อได้ MR.BIV ของแผนกตนเองแล้ว ก็แก้ปัญหาด้วยปัญญาคือ ช่วยกันคิดว่า จะป้องกัน MR.BIV แต่ละข้อไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอเพื่อแบ่งปันกับแผนกอื่น